Skip to main content
มัสลัน มาหะมะ
รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา
 
 
السَّلام ُعَليكُم ْوَرَحْمَةُالله وَبَرَكَاتُه
 
พี่น้องชาวอีดิลอัฎฮาที่เคารพทุกท่าน
 
ขอชุโกร์ต่ออัลลอฮฺ (ซ.บ.) ที่ทรงประทานโอกาสแก่เราร่วมเฉลิมฉลองในเช้าวันอิดิลอัฎฮา ประจําปี ฮ.ศ. 1430 พร้อมกับประชาชาติมุสลิมทั้งโลกด้วยการเปล่งเสียงดังทั่วหล้าด้วยเสียงตักบัร الله أكبر (อัลลอฮุอักบัรฺ) เพื่อแสดงจุดยืนและประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันว่า อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงยิ่งใหญ่เหนือสรรพสิ่ง อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงยิ่งใหญ่เหนืออํานาจและการปกครองทั้งปวง อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงยิ่งใหญ่เหนืออารมณ์และความรู้สึกทั้งมวล
 
ด้วยเสียงตักบีรالله أكبر เท่านั้น ที่ทําให้อํานาจอันล้นฟ้าของทรราชฟิร-เอาน์ กษัตริย์จอมอหังการต้องล่มสลายลง
 
ด้วยเสียงตักบีร  الله أكبر เท่านั้น ที่ทําให้กองทัพนัมรูดอันเกรียงไกรยอมสยบต่อนบีอิบรอฮีม (อ.) ผู้ยืนหยัดต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย
 
ด้วยเสียงตักบีร  الله أكبرเท่านั้นที่นบีอิบรอฮีม (อ.)  ยอมฝืนใจเชือด   ลูกรักนบีอิสมาอีล (อ.)   ซึ่งอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ได้เปลี่ยนเป็นแกะขาว ชั่วพริบตาในเวลาต่อมา และกลายเป็นต้นตํารับของการเชือดกุรบานเช่นวันนี้
 
ด้วยเสียงตักบีร  الله أكبر เท่านั้นที่นบีมุหัมมัด (ศ.ล.) ยอมกัดฟันต่อสู้อุปสรรคของการดะวะฮฺ ท่ามกลางความท้าทายด้วยบททดสอบและการบังคับข่มขู่สารพัดวิธี การเย้ายวนด้วยสิ่งล่อใจ และการทรมานด้วยวิธีการป่าเถื่อนและโหดร้าย
 
ด้วยเสียงตักบีร  الله أكبر เท่านั้นที่บรรดาเศาะฮาบะฮฺยอมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่พร้อมนบีมุหัมมัด(ศ.ล.) เพื่อปกป้องอิสลาม แม้ต้องแลกด้วยคนรักและทรัพย์สินเงินทอง หรือแม้กระทั่งชีวิตก็ตาม
 
ด้วยเสียงตักบีร  الله أكبر เท่านั้นที่บรรดาเคาะลีฟะฮฺ ผู้ทรงธรรมทั้ง 4 และบรรดาผู้นําอิสลามได้โบกสะบัดธงอิสลามไปทั่วทุกมุมโลก เพื่อป่าวประกาศสัจธรรมแห่งอิสลามสู่มนุษยชาติทั้งมวล
 
ด้วยเสียงตักบีร الله أكبر เช่นเดียวกัน ที่เรารวมตัวกันอยู่ ณ ที่นี้ พร้อมๆกับบรรดาผู้ประกอบพิธีฮัจญ์ ที่กล่าวเสียงตักบีรก้องกังวานทุ่งอะรอฟะฮฺ ทุ่งมีนา ทุ่งมุซดาลีฟะฮฺ รอบกะบะฮฺ เพื่อป่าวประกาศว่า อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงยิ่งใหญ่ และมวลมนุษย์ล้วนเป็นบ่าวของพระองค์เท่านั้น
 
เสียงตักบีร الله أكبر ช่างมีพลังมหาศาลต่อการเปลี่ยนแปลง ทั้งต่อตนเอง ครอบครัว สังคมและประเทศชาติ หากผู้กล่าวเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อความหมายของ الله أكبر อย่างแท้จริง
 
ไม่ใช่กล่าวเพียงแค่ลมปาก แต่ไม่สามารถเคาะประตูหัวใจสู่การเปลี่ยนแปลงในโลกแห่งความเป็นจริง ปากตะเบ็งเสียงว่า الله أكبر แต่ในก้นบึ้งของหัวใจโดยแท้จริงแล้วคือ อํานาจ ลาภยศเท่านั้นที่ยิ่งใหญ่ เงินทองที่ยิ่งใหญ่ ญาติสนิทมิตรสหายของตนคือผู้ยิ่งใหญ่ แม้กระทั้งในบางครั้งก็ยึดถืออารมณ์กิเลสของตนเองเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อใดที่ผลประโยชน์และความรู้สึกเหล่านี้ไปขัดแย้งกับคําสอนของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) แล้ว ยังมีมุสลิมบางคนยอมสลัดทิ้งศาสนาของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) และจํานนต่อผลประโยชน์ดังกล่าวอย่างว่านอนสอนง่ายเลยทีเดียว
 
الله أكبر،الله أكبر،الله أكبر،ولله الحمد
 
อิสลามเป็นหลักศรัทธาหรืออะกีดะฮฺอันสูงส่ง ส่วนหนึ่งที่เป็นอัตลักษณ์ของศาสนานี้คือ สามารถปลูกฝังความรู้สึกภาคภูมิใจที่มิใช่หยิ่งยโส เสริมสร้างวิญญาณของความเชื่อมั่นที่ไม่ประมาทเลินเล่อ และความรู้สึกเงียบสงบที่ไม่เผอเรอ สามารถทําให้มุสลิมเกิดสํานึกต่อพันธกิจอันสูงส่ง คือนํามนุษยชาติที่กําลังหลงระเริง พร้อมชี้นําพวกเขาสู่ศาสนาอันมั่นคงและเส้นทางอันเที่ยงตรง ปลดปล่อยเพื่อนมนุษย์ออกจากความมืดมนสู่แสงสว่าง จากการเคารพบูชามนุษย์ด้วยกัน สู่การเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ (ซ.บ.) ผู้ทรงเอกา จากความชั่วร้ายของปรัชญาและแนวคิดต่างๆ สู่ความยุติธรรมของอิสลาม จากความคับแคบของโลกนี้สู่ความยิ่งใหญ่ไพศาลของอาคิเราะฮฺอันนิรันดร์
 
และเพื่อให้ภารกิจเหล่านี้ ได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมและประสบผลสําเร็จสูงสุด อิสลามได้มอบหมายให้กับผู้นําทําหน้าที่เป็นหัวขบวนในการขับเคลื่อน บนพื้นฐานของความเข้าใจในภารกิจ พร้อมกับพลังประชาชนที่คอยสนับสนุนและให้ความร่วมมือ และนี่คือที่มาของหัวข้อคุฎบะฮฺอีดิลอัฎฮาประจําปีนี้ “ผู้นํามีคุณภาพ นําประชาชาติสู่ความเป็นเลิศ
 
الله أكبر،الله أكبر،الله أكبر،ولله الحمد
 
พี่น้องชาวอีดิลอัฏฮาทั้งหลาย
 
เมื่อพูดถึงผู้นำคุณภาพและประชาชาติที่ดีเลิศแล้ว เราคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะนึกถึงมหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่เท่าที่โลกเคยมีมา และประชาชาติที่ดีเลิศที่ถูกอุบัติขึ้นมายังมนุษยชาติ นั้นคือนบีมุหัมมัด (ศ.ล.) และประชาสังคมที่เกิดขึ้นในสมัยของท่าน ซึ่งถือเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบสำหรับมนุษยชาติ ถือเป็นต้นแบบของการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ครอบคลุม ต่อเนื่องและเป็นธรรมที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเลยทีเดียว
 
ก่อนที่จะพูดถึงบทบาทของมหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่และผลงานอันมหัศจรรย์นี้ ขอเชิญชวนท่านทั้งหลาย ย้อนรอยอดีตโดยเฉพาะอย่างยิ่งในศตวรรษที่ 6 และ 7 แห่งคริสต์ศักราช ซึ่งถือเป็นยุคมืดหรือช่วงเสื่อมถอยที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์โลก มนุษยชาติตกอยู่ในห้วงเหวแห่งวิกฤตการณ์และตกต่ำอย่างต่อเนื่องยาวนานหลายศตวรรษ คำเรียกร้องของเหล่าศาสนทูตต้องเงียบเชียบลงไปช่วงเวลาหนึ่ง... ดวงประทีปที่เคยจุดไว้ต้องมืดดับลง ด้วยลมพายุที่โหมกระหน่ำแม้นพอมีอยู่บ้าง แต่ก็เป็นเพียงดวงไฟอันริบหรี่ที่ไม่สามารถส่องแสงสว่างได้ ขณะที่นักการศาสนาทั้งหลาย บ้างก็ปลีกวิเวกจากสนามชีวิตจริง จำกัดตัวอยู่ในวัดวาอาราม และโบสถ์วิหาร หวังเพียงรักษาไว้ซึ่งหลักธรรมคำสอนและชีวิตตนเองจากความโกลาหลอลหม่านทางโลก มุ่งมั่นแค่การเทศนาธรรมที่ไม่สามารถสะท้อนความเป็นจริงของสังคมได้   หลีกห่างจากภาระจำเป็นต่างๆ ของชีวิตที่ต้องประสบพบเจอ หรือไม่ก็ตกอยู่ในสมรภูมิสู้รบระหว่างศาสนาและการเมืองหรือจิตวิญญาณและวัตถุ
 
ขณะอีกส่วนหนึ่งซึ่งอยู่ในสนามชีวิตจริง กลับมีท่าทีที่ประจบสอพลอต่อผู้มีอำนาจซ้ำยังคอยช่วยเหลือเกื้อกูลกันในสิ่งที่เป็นบาปและเป็นศัตรู และโกงกินทรัพย์สินของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันโดยมิชอบ
 
ศาสนาสำคัญทั้งหลายต้องตกเป็นเหยื่อของบรรดา   ผู้ปฏิบัติที่เลินเล่อ เป็นของเล่นสำหรับนักบุญใจบาป ผู้บิดเบือนและกลับกลอก   กระทั่งวิญญาณ และสารัตถะของศาสนาเหล่านั้นต้องสูญสิ้นไป หลายดินแดนที่เคยเป็น อู่ทองแห่งอารย-ธรรม ต้องกลายเป็นสนามของความวุ่นวาย สังคมไร้ขื่อแป ผู้ปกครองเอาแต่ฉ้อฉลและสาละวนอยู่กับผลประโยชน์ส่วนตน โลกอยู่ในสภาพที่ไร้สาสน์ชี้นำ ขณะที่ประชาชาติต่างๆ ก็จมในมหาสมุทรตัณหาราคะ สายธารที่คอยชุบเลี้ยงชีวิตต้องเหือดแห้งลง จนไม่มีบัญญัติจากศาสนาใดๆ ที่ถือว่าบริสุทธิ์หลงเหลืออยู่อีก หรือแม้แต่กฎระเบียบของมนุษย์ที่มั่นคง สักหนึ่งเดียวก็ไม่มี
 
สถาบันศาสนา ถูกคุกคามโดยผู้นับถือศาสนาเอง มีการโต้แย้งหักล้างกันทางตรรกะ จนครอบงำความคิดของผู้คน ทำลายความฉลาด และกลืนกินความสามารถด้านการสรรค์สร้างนวตกรรม  ทำให้เกิดสงครามเลือดฆ่าฟัน ทำลาย กดขี่ข่มเขง ปล้นสดมภ์และลอบสังหารกัน ในขณะที่โรงเรียน โบสถ์วิหารและบ้านเรือนต้องกลายเป็นค่ายสะสมอาวุธ  ที่หวังต่อสู้เอาชนะคาดคั้นกัน ประเทศชาติได้ถูกชักนำสู่สงครามกลางเมืองที่โหดร้ายที่สุด
 
ซ้ำร้ายบรรดาผู้นำประเทศยุคนั้น ยังเป็นต้นเหตุของความมัวหมองบนหน้าแผ่นดิน เป็นนรกอเวจีต่อชาติพันธุ์มนุษย์ด้วยกัน เป็นความทุกข์ทรมานสำหรับชาติเล็กชาติน้อยที่อ่อนแอกว่า เป็นบ่อเกิดแห่งความเสื่อมเสีย เป็นโรคร้ายในเรือนร่างของสังคมมนุษย์ที่คอยแพร่กระจายให้เชื้อพิษไหลผ่านเข้าสู่โสตประสาทและเส้นเลือด แล้วเรือนร่างที่เคยปกติสมบูรณ์ก็กลายเป็นอัมพาตเช่นเดียวกับสังคมอาหรับยุคก่อนอิสลาม ที่ห่างไกลเหลือเกินจากสาสน์แห่งพระผู้เป็นเจ้าและทางนำของบรรดาศาสนทูต การจำกัดตัวเองอยู่เฉพาะในแถบคาบสมุทรอาหรับ และยึดติดอย่างงมงายกับความเชื่อของบรรพบุรุษและประเพณีเก่าๆ ทำให้พวกเขาต้องประสบกับความตกต่ำด้านศาสนาอย่างรุนแรง และความเชื่อในลัทธิบูชาเจว็ดแพร่หลายยิ่งกว่าชนชาติใดๆ ในยุคเดียวกัน โรคร้ายทางจริยธรรมและสังคม ทำให้พวกเขาต้องตกเป็นชาติที่เสื่อมถอยด้านศีลธรรม สังคมที่ฟอนเฟะ ไร้เสถียรภาพ นับเป็นวิถีชีวิตแบบญาฮิลียะฮฺที่เลวร้ายที่สุด
 
โดยภาพรวมแล้ว ไม่มีชนชาติใดอีกแล้วในยุคนั้นที่มีนิสัยงดงาม หรือสังคมอารยันที่ดำรงอยู่บนพื้นฐานของศีลธรรมจรรยา ไม่มีรัฐบาลใดที่ได้รับการสถาปนาอยู่บนรากฐานแห่งความยุติธรรมและเมตตาธรรม ไม่มีผู้นำใดที่ตั้งมั่นอยู่บนฐานความรู้และวิทยปัญญา และไม่มีศาสนาใดที่ถือว่าถูกต้องที่สืบสานต่อมาจากบรรดาศาสนทูตทั้งหลาย ความเสื่อมเสียระบาดไปทั่วทั้งบนบกและท้องทะเล
 
แสงอันริบหรี่ราวหิ่งห้อยที่ส่องแสงอยู่ในยามค่ำคืนที่แสนมืดมิดอย่างไรก็มิอาจส่องแสงสว่างแก่หนทางได้ มีเพียงบางคนที่ยอมฝ่าฟันออกจากความมืดมิด เพื่อค้นหาความรู้อันถูกต้อง เสาะแสวงศาสนาที่เที่ยงแท้ที่อาจหลงเหลืออยู่บ้างบนผืนแผ่นดิน ยอมระหกระเหินทิ้งบ้านเกิดเมืองนอน เพื่อหวังพึ่งพิงนักการศาสนาผู้ทรงธรรม เช่นคนใกล้จมน้ำที่หวังไขว่คว้าเพียงแผ่นกระดานที่ล่องลอยจากซากเรือที่อับปาง ซึ่งถูกคลื่นซัดโหมกระหน่ำ ดังที่เกิดขึ้นกับบุรุษผู้แสวงหาสัจธรรมนามว่า ซัลมาน อัลฟาร์ซีย์
 
ท่ามกลางมนุษยชาติอยู่ในความสับสนวุ่นวายเช่นนี้ มุหัมมัดบุตร อับดุลลอฮฺ ได้กำเนิดมา โลกในขณะนั้น มีสภาพที่ไม่ต่างกับอาคารที่ประสบแผ่นดินไหวรุนแรง ทุกสิ่งกระจัดกระจายอยู่ไม่เป็นที่เป็นทาง รากฐานและอุปกรณ์บางอย่างเสียหายอย่างไม่มีชิ้นดี บ้างก็คดงอเสียรูปทรง และบ้างก็ถูกพัดพาคลาดเคลื่อนออกไปจากตำแหน่งที่เหมาะสม หรือโยกย้ายไปยังสถานที่อื่น ในขณะที่บางส่วนก็ถูกสุมวางอยู่เป็นกอง
 
ท่านเพ่งพิจารณาโลกด้วยสายตาศาสนทูต จึงพบเห็นว่า ผู้คนทั้งหลายถูกทำลายสิ้นซึ่งความเป็นมนุษย์... พวกเขาต่างพากันกราบไหว้โขดหิน ต้นไม้และแม่น้ำ รวมถึงสิ่งต่างๆที่มิอาจบันดาลคุณหรือให้โทษ แม้แต่ต่อตนเองได้เลย
 
ท่านพบเห็นมนุษย์ตกอยู่ในสภาพวิปริต สูญเสียสิ้นซึ่งความมีสติปัญญา แม้แต่สิ่งแจ่มแจ้งชัดเจนก็แยกแยะไม่ถูก   ระบบความคิดถูกทำลาย ลังเลในสิ่งที่ควรเชื่อมั่นศรัทธา แต่เชื่อมั่นในสิ่งที่พึงกังขา ... รสนิยมของเขาถูกทำลายย่อยยับ กระทั่งหันไปยินดีปรีดากับสิ่งที่น่าขมขื่น... นิยมในสิ่งที่เลวทราม ชื่นชอบอาหารที่สกปรกโสโครก... ความรู้สึกนึกคิดของเขาคงอันตรธานเสียแล้วกระมัง ถึงกลับกลายไปนิยมยกย่องศัตรูผู้อธรรม แต่ต่อมิตรสหาย   ผู้หวังดีแท้ๆ เขากลับชิงชังแหนงหน่าย...
 
ท่านพบเห็นสังคมที่ทุกสิ่งในนั้นมิได้อยู่ในรูปลักษณ์ หรือวางอยู่ในตำแหน่งของมัน มหาโจรได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้นำ ... สุนัขจิ้งจอกกลายเป็นผู้เลี้ยงฝูงแกะ... นักโทษประหารกลายเป็นผู้พิพากษา... เหล่าอาชญากรถูกปล่อยลอยนวลอยู่ในสังคม ขณะที่คนดีๆ กลับอยู่ในสภาพรันทดหดหู่... สมาชิกในสังคมไม่รู้สึกยินดียินร้ายต่อความดีงามหรือความชั่วช้า...
 
ท่านยังพบเห็นประเพณีอันเลวทรามต่างๆ ที่เป็นตัวเร่งทำลายมนุษยชาติให้พินาศเร็วขึ้น และนำพาพวกเขาสู่หุบเหวแห่งความหายนะ ...
 
ท่านพบเห็นการดื่มสุรายาดองถึงขั้นกลายเป็นประเพณีนิยม... ขณะที่สิ่งลามกอนาจารต่างๆ มีมากมายดาษดื่น... การกินดอกเบี้ยแพร่ระบาดทั่วทุกหย่อมหญ้า จนคล้ายเป็นการจี้ปล้นทรัพย์สินประชาชน ...
 
ท่านพบเห็นความกระสันและอยากได้ในทรัพย์สินเงินทอง ถึงขั้นละโมบและตะกละ ... พบเห็นความโหดร้าย ทารุณ แม้กระทั่งฝังลูกทั้งเป็น...
 
ท่านพบเห็นระบบครอบครัวถูกทำลายอย่างย่อยยับ สตรีเป็นเพียงแค่สินค้าและเป็นที่ระบายอารมณ์กำหนัดของบุรุษ อันธพาลครองเมือง ภาษาเดียวที่มีการพูดกันอย่างกว้างขวางคือ   ผู้ใดไม่ปฏิบัติอธรรม เขาย่อมถูกอธรรมรังแก
 
ท่านพบเห็นบรรดาผู้นำ ยึดปล้นบ้านเมืองของพระเจ้ามาทำเป็นอาณาจักรของตน... ยึดเอาปวงบ่าวของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) มาเป็นทาสบริวาร...
 
ท่านพบเห็นบรรดานักพรต นักบวชมากมายตั้งตัวเป็นพระเจ้าเสียเอง คอยหลอกลวงทรัพย์สินของผู้คนทั้งหลายโดยมิชอบ และขัดขวางหนทางของพระเจ้า...
 
ท่านพบเห็นพรสวรรค์ต่างๆของมนุษย์ ถูกทำลายหรือเบี่ยงเบนเสียหายไปสิ้น จนมิอาจใช้ประโยชน์หรือกำหนดความคิดที่ถูกต้องได้อีก มิหนำซ้ำยังกลับกลายมาเป็นโรคร้ายต่อเจ้าของเอง รวมทั้งมนุษยชาติโดยรวมอีกด้วย... ยามนั้นความกล้าหาญก็กลายเป็นความบ้าบิ่นและป่าเถื่อน... ความใจบุญกุศลทานกลับกลายเป็นความสิ้นเปลืองสุรุ่ยสุร่าย ... ความต่ำต้อยเป็นสิ่งน่ารังเกียจของสังคม... ในขณะที่ความฉลาดก็ถูกใช้ไปเพื่อฉ้อโกงและหลอกลวง... สติปัญญากลายเป็นเครื่องมือสำหรับสร้างสรรค์อาชญากรรมในรูปแบบต่างๆ และประดิษฐ์สิ่งสนองกิเลสตัณหาของมนุษย์ ...
 
ท่านพบเห็นมนุษย์ทั้งหลายทั้งปัจเจกชนและองค์กรต่างๆ เป็นดั่งวัตถุดิบที่มิได้ผ่านกรรมวิธีใดๆ ของช่างประดิษฐ์ผู้ฉลาดหลักแหลม... ท่านพบเห็นชนชาติต่างๆ ดำรงอยู่เช่นฝูงแกะที่ไร้ผู้ดูแล... ขณะที่การเมืองก็เป็นเสมือนอูฐพยศที่พยายามดึงเชือกผูกให้ขาดสะบั้น แล้วเที่ยวอาละวาดสร้างความพินาศไปทั่วทุกหย่อมหญ้า... อำนาจเป็นประหนึ่งดาบในมือของคนเมาไร้สติ ที่ไม่เพียงทำร้ายครอบครัว พี่น้องผองเพื่อน หรือสังคมเท่านั้น แม้กระทั่งยอมทำร้ายตัวเองด้วยซ้ำ 
 
الله أكبر،الله أكبر،الله أكبر،ولله الحمد
 
 ในทุกๆ ด้านของชีวิตที่เสื่อมโทรมและเสียหายนี้ ล้วนจำเป็นต้องได้รับการเอาใจใส่และดูแลอย่างจริงจังจากนักพัฒนา หากเขาผู้นั้นเป็นเช่นนักพัฒนาธรรมดาทั่วไปแล้ว อย่างดีก็อาจแก้ไขหรือพัฒนาได้ก็แค่ปัญหาใดปัญหาหนึ่งเท่านั้น แม้นอายุอาจยืดยาวเพียงใด เขาอาจแก้ไขได้เพียงข้อบกพร่องหนึ่งทางสังคมที่เขารู้สึกปวดร้าวเท่านั้น... ทว่าจิตใจของมนุษย์ถูกประกอบมาสุดซับซ้อนยากที่จะหยั่งถึงได้ ...มีความละเอียดอ่อน มีประตูหน้าต่างมากมาย แฝงไปด้วยความต้องการและอิสระ ซึ่งเมื่อใดหากมันเบี่ยงเบนหรือเฉไฉหลงทางเสียแล้ว ก็มิอาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงนิสัยสันดานใดๆ ของคนผู้นั้นได้เลย จนกว่าทัศนคติของเขาจะเปลี่ยนจากร้ายเป็นดี หรือจากความเสื่อมเสียไปสู่การพัฒนาปรับปรุง
 
ทุกโรคของสังคม รวมทั้งข้อบกพร่องต่างๆ ของอนุชนรุ่นปัจจุบัน ล้วนแล้วต้องแก้ไขปรับปรุงอย่างไม่จบสิ้น ตลอดอายุขัยของมนุษย์ต้องจมอยู่ในนั้น หรือนักพัฒนาเหล่านั้น จำต้องทุ่มเทชีวิตอย่างที่สุดและตลอดไปเลยก็ว่าได้ ดังกรณีตัวอย่างการรณรงค์กวาดล้างยาเสพติดเป็นต้นถึงแม้รัฐจะทุ่มเทกวาดล้างอย่างหนักและกำหนดบทลงโทษผู้เกี่ยวข้องอย่างหนักหน่วงเพียงใด ก็ยังไม่มีพลังพอที่จะปราบปรามพฤติกรรมการเสพยาเสพติดได้ ไม่มีวิธีอื่นใด นอกจากต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติหรือจิตใต้สำนึกเสียก่อนเท่านั้น แต่หากบีบบังคับด้วยวิธีอื่นแล้ว ก็มีแต่จะทำให้ผู้เกี่ยวข้องกับสิ่งเสพติดเหล่านั้น หันไปปฏิบัติความผิดอื่นๆ อีก หรือไม่ก็พยายามหลีกเลี่ยงเปลี่ยนชื่อหรือสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของสิ่งเดียวกัน เพื่อชี้ชวนให้ผู้คนเห็นดีเห็นงามต่อไปอย่างไม่จบสิ้น...
 
พี่น้องชาวอิดิลอัฎฮา ผู้ศรัทธาทั้งหลาย
 
นบีมุหัมมัด(ศ.ล.) มิใช่เช่นบรรดานักปฏิรูปโดยทั่วไป ที่มักเข้าบ้านทางประตูด้านหลัง หรือปีนป่ายหน้าต่างเข้าไป แล้วจัดการป่าวประกาศต่อสู้กับโรคร้ายต่างๆ ทางสังคมหรือสิ่งบกพร่องทางศีลธรรมจรรยาเพียงเท่านั้น... ซึ่งบางคนก็ประสบความสำเร็จบ้างในบางส่วน แค่ชั่วเวลาหนึ่งในบางพื้นที่ของประเทศ   ขณะที่บางคนก็เสียชีวิตลงก่อนที่ภารกิจจะสำเร็จ...
 
นบีมุหัมมัด (ศ.ล.) เข้ามายังอาคารแห่งการเผยแผ่และทำการปฏิรูปโดยใช้ประตูของมัน แล้วไขกุญแจแห่งธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ที่ถูกปิดตายออกเสีย   เป็นกุญแจที่บรรดานักปฏิรูปต่างๆในช่วงว่างเว้นศาสดา และผู้คนหลังจากนั้นมากมาย ต่างก็ต้องเหนื่อยล้าและล้มเหลวมามากต่อมากแล้ว เนื่องพยายามเปิดด้วยสิ่งอื่นซึ่งมิใช่ ลูกกุญแจที่แท้จริงของมัน... ท่านได้เรียกร้องมนุษย์สู่การศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียว ปฏิเสธรูปเจว็ด และการสักการะบูชา

สิ่งต่างๆ... ปฏิเสธพระเจ้าจอมปลอมในทุกความหมาย พร้อมลุกขึ้นประกาศท่ามกลางหมู่ชนทั้งหลายว่า
โอ้มนุษย์ทั้งหลาย จงกล่าวเถิดว่า : ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ(ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ) แล้วพวกท่านจะประสบกับความสำเร็จ พร้อมกับเรียกร้องพวกเขาสู่การศรัทธาต่อสารของท่าน และศรัทธาต่อวันปรโลก..
 
นบีมุหัมมัด (ศ.ล.) ยืนหยัดอยู่ถึง 13 ปีในการเรียกร้องเชิญชวนสู่พระเจ้าองค์เดียว และให้ศรัทธาต่อสาสน์ของท่าน และต่อโลกอาคิเราะฮฺอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งที่สุด โดยปราศจากอาการเบื่อหน่าย อ่อนข้อ เศร้าโศก ลังเลหรือคิดคดต่ออุดมการณ์นี้เลย... ท่านมองว่า ในเหตุการณ์เหล่านั้น ย่อมมีโอสถทิพย์สำหรับทุกโรค ขณะที่ฝ่ายกุร็อยช์ก็ลุกขึ้นประกาศก้องในทุกสารทิศ และต่างพร้อมใจมุ่งเป้ามายังท่านด้วยดอกธนูดอกเดียวกัน พยายามจุดบ้านเผาเมือง เพื่อโดดเดี่ยวท่านออกจากลูกหลานและพี่น้องของพวกตน ฉะนั้น การที่ยอมศรัทธาเชื่อมั่นต่อท่านนบี และยอมแยกตัวไปอยู่กับท่านในยามวิกฤติเช่นนี้ จึงถือเป็นจุดที่ล่อแหลมที่สุด บุคคลที่กล้าขับเคลื่อนพร้อมกับท่านได้ ต้องเป็นผู้ที่มีความจริงจังและจริงใจ ไม่ยึดติดตัวเองและเชื่อมั่นอย่างเต็มร้อยที่จะทะยานเข้าสู่กองเพลิง และเดินไปบนพงหนามพร้อมกับท่าน   มีเยาวชนกลุ่มหนึ่ง กล้ายืนหยัดอยู่เบื้องหน้าชนิดที่ฝ่ายกุร็อยช์มิอาจสบประมาทได้เลย หรือใช้ปัจจัยใดๆ ทางโลกมาเจรจา หว่านล้อมพวกเขาให้สั่นคลอนในจุดยืนได้ เพราะความปรารถนาของพวกเขาคืออาคิเราะฮฺ และความต้องการของพวกเขาก็คือสวนสวรรค์ พวกเขาได้ยินแล้วซึ่งการเรียกร้องของผู้เรียกร้องให้ศรัทธาต่อองค์อภิบาล..พวกเขาจึงรู้สึกว่า สิ่งที่ญาฮิลียะฮฺยัดเยียดให้นั้น มันช่างคับแคบเสียเหลือเกิน พาให้รู้สึกอึดอัดตัวเอง กังวล และกระสับกระส่ายเหมือนนอนอยู่บนพงหนาม... พวกเขาเห็นแล้วว่า ย่อมไม่มี

สิ่งใดมาช่วยปลดปล่อยได้ นอกจากการศรัทธาต่ออัลลอฮฺ
(ซ.บ.) และ ศาสนทูตของพระองค์เท่านั้น พวกเขาจึงยอมรับการศรัทธา และมุ่งไปหานบีมุหัมมัด (ศ.ล.) ทั้งๆ ที่ท่านอาศัยอยู่ในบ้านเมืองของพวกเขา ได้ประสบพบเห็นท่านมาตลอด ฝ่ายกุร็อยช์พยายามขัดขวางท่านและกลุ่มชนผู้ศรัทธาด้วยอุปสรรคต่างๆ นานา แต่บรรดาผู้ศรัทธาก็ได้วางมือของตนไว้บนมือของนบีมุหัมมัด (ศ.ล.)   ยอมมอบร่างกายและชีวิตให้แก่ท่านแล้ว แม้นชีวิตจะอยู่ในอันตรายเพียงใด ก็พร้อมเผชิญการทดสอบและวิบากกรรมต่างๆ ด้วยความเชื่อมั่นเสมอ...
 
เผ่ากุร็อยช์คงไม่มีความหมายอันใดเกินกว่าสิ่งที่พวกเขาคาดไว้... แม้นกระปอกธนูของพวกกุร็อยช์จะพลัดหล่นอันแล้วอันเล่า... ดอกธนูจะถาโถมมายังพวกเขาดอกแล้วดอกเล่า... แต่ทั้งหมดนั้น หาได้ทำให้เกิดสิ่งใด นอกจากความเชื่อมั่น และอดทนเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
 
พวกเขากล่าวว่านี่คือสิ่งที่อัลลอฮฺและเราะซูลของพระองค์ได้สัญญาไว้แก่เรา และอัลลอฮฺและเราะซูลของพระองค์ตรัสไว้เป็นจริงแล้ว และมันมิได้เพิ่มสิ่งใดให้แก่พวกเขานอกจากการศรัทธาและการนอบน้อม (อัลอะหฺซาบ,33: 22)
 
นบีมุหัมมัด(ศ.ล.) ได้ใช้อัลกุรอานเป็นอาหารทางวิญญาณ อบรมจิตใจด้วยการศรัทธา และทำให้พวกเขานอบน้อมลงเบื้องหน้าองค์อภิบาลแห่งสากลโลก 5 ครั้งต่อวัน ด้วยร่างกายที่ใสสะอาด หัวใจที่ยำเกรง ร่างกายที่ยอมจำนน และสติปัญญาที่ทะลุปรุโปร่ง... ทุกๆวันมีแต่จะทำให้วิญญาณสูงส่ง หัวใจบริสุทธิ์ อุปนิสัยที่สะอาด พร้อมยังปลดปล่อยให้พ้นจากอำนาจแห่งวัตถุนิยมทั้งหลาย และการราวีของกิเลสตัณหา พร้อมเรียกร้องสู่องค์อภิบาลแห่งแผ่นดินและฟากฟ้าทั้งหลาย...อีกทั้งยังทำให้พวกเขามีความอดทนอดกลั้นต่อการประทุษร้าย รู้จักการให้อภัยและเอาชนะใจตนเอง... พวกเขามาจากเผ่าพันธุ์ ที่แต่ละคืนวันมีแต่สงครามแตกหัก ตะลุมบอนและคลุกอยู่กับฝุ่นดิน แต่นบีมุหัมมัด (ศ.ล.)ได้พยายามข่มนิสัยชอบการต่อสู้ และป้องกันความเป็นชาตินิยมอาหรับของพวกเขาเอาไว้ พร้อมกล่าวกับพวกเขาว่า
 
 พวกท่านทั้งหลาย จงวางมือลงเถิด อย่าตอบโต้เป็นอันขาด แล้วลุกขึ้นทำละหมาดและจ่ายซะกาต (อันนิสาอฺ, 4 : 77)
 
แล้วพวกเขาก็ยอมน้อมรับคำสั่งและวางมือลง... พวกเขายอมอดทนอดกลั้นต่อการทารุณกรรมพวกกุร็อยช์ แม้นต้องสังเวยด้วยเลือดเนื้อ แม้กระทั่งชีวิต โดยมิหวาดหวั่นหรือยอมอ่อนข้อ ประวัติศาสตร์ไม่เคยจารึกเหตุการณ์ใดในยุคมักกะฮฺว่า มุสลิมลุกขึ้นตอบโต้ด้วยวิธีการรุนแรง แม้นโดยสัญชาติญาณและนิสัยดั้งเดิมแล้ว พวกเขามีความพร้อมพอที่จะใช้กำลังเช่นนั้นก็ตาม...
 
สิ่งที่ได้รับการบันทึกในประวัติศาสตร์ช่วงนั้น คือการเชื่อฟังและยอมนอบน้อม ซึ่งเป็นการแสดงอารยขัดขืนที่ยาวนานและยากลำบากมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเลยทีเดียว จนกระทั่งเมื่อพวกกุร็อยช์ข่มเหงรังแกหนักขึ้นจนสุดจะทนไหว อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ก็ทรงอนุญาตให้ศาสนทูตของพระองค์พร้อมเหล่าเศาะฮาบะฮฺทำการฮิจเราะฮฺ คืออพยพสู่เมืองมะดีนะฮฺ ซึ่งอิสลามได้เผยแผ่ไปถึงก่อนแล้ว...
 
ชาวเมืองมักกะฮฺได้ประสานมือกับชาวเมืองมะดีนะฮฺ และไม่มีสิ่งใดที่สามารถผนวกรวมเข้าด้วยกันได้นอกจากศาสนาใหม่นี้ ซึ่งนับเป็นภาพที่แสดงถึงอำนาจของศาสนาที่ประวัติศาสตร์ได้จารึกยืนยันไว้ ระหว่างเผ่าเอาส์และ ค็อซรอจญ์ ซึ่งเป็นคู่อรินานนับศตวรรษที่ฝุ่นตลบของสงครามไม่เคยสร่างซาจากพวกเขาเลย ดาบของพวกเขาไม่เคยสิ้นคาวเลือด กระทั่งอิสลามได้สมานฉันท์หัวใจของพวกเขาเข้าด้วยกัน แม้นจะใช้สิ่งที่มีอยู่ในโลกทั้งหมด ก็ไม่มีผู้ใดสามารถสมานหัวใจของพวกเขาเช่นนี้ได้ ต่อจากนั้นท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ได้สร้างความเป็นพี่น้องระหว่างกัน        ความเป็นพี่น้องที่เหนือกว่าความเป็นพี่น้องที่คลานตามหลังกันมา ที่ความเป็นเพื่อนหรือสหายทุกคู่เท่าที่ประวัติศาสตร์เล่าขานกันมา ก็มิอาจเสมอเหมือนได้
 
กลุ่มชนใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้ เป็นดั่งแกนกลางของประชาชาติอิสลามในภาพกว้างที่อุบัติขึ้นเพื่อชาวโลกทั้งหลาย และเป็นธาตุแท้ของอิสลาม การปรากฏขึ้นของกลุ่มชนนี้ในสถานการณ์อันลำบากยิ่งนี้ เท่ากับเป็นสิ่งคุ้มกันโลกจากความหลงทางที่กำลังคุกคาม เป็นหลักประกันหนึ่งแก่มนุษยชาติจากวิกฤติและภยันตรายต่างๆที่ห้อมล้อมอยู่ได้ เหตุนี้อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงได้กล่าวเฉพาะเจาะจงถึงความเป็นพี่น้องและความสมานฉันท์ระหว่างชาวมุฮาญิรีนและชาวอันศอรนี้ความว่า
 
หากพวกเจ้าไม่ปฏิบัติในสิ่งนั้น (คือไม่ช่วยเหลือพี่น้องผู้ศรัทธาด้วยกันจากการถูกข่มเหง)แล้ว ความวุ่นวายและความเสียหายอันใหญ่หลวง   ก็จะเกิดขึ้นในแผ่นดิน(อัลอันฟาล, 8 : 73)
 
นบีมุหัมมัด(ศ.ล.) ยังคงอบรมขัดเกลาพวกเขาอย่างละเอียดและลึกซึ้ง ขณะที่อัล- กุรอาน ก็ยังคงพัฒนาจิตวิญญาณของพวกเขาให้สูงส่งและเติมเต็มไฟของหัวใจให้ลุกโชนอยู่ตลอด...วงสนทนาสั่งสอนต่างๆ ของนบีมุหัมมัด(ศ.ล.) ยังคงเพิ่มพูนความเข้มแข็งในเรื่องศาสนาให้แก่พวกเขา และให้ละเว้นจากกิเลสตัณหา... ใช้ชีวิตสิ้นไปในหนทางแห่งความดี และเสน่หาต่อสรวงสวรรค์... ได้กระตุ้นให้พวกเขาเป็นคนใฝ่รู้ ทำความเข้าใจในเรื่องศาสนาและตรวจสอบทบทวนตนเอง... พวกเขาต่างเชื่อฟังปฏิบัติตามนบีมุหัมมัด(ศ.ล.) ในทุกสภาพการณ์ไม่ว่ายามปกติสุข หรือยามทุกข์เข็ญ... พร้อมออกเดินทางในวิถีของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ได้ทุกเมื่อ... พวกเขาสามารถสลัดโลก (ดุนยา)ได้อย่างง่ายดาย อันความทุกข์ยากของลูกเมีย ครอบครัวสำหรับพวกเขาเป็นสิ่งเล็กน้อยมาก...
 
มีโองการมากมายที่ถูกประทานลงมาซึ่งพวกเขาไม่เคยพบเจอหรือคุ้นเคย... และทุกสิ่งที่รู้สึกลำบากใจ แต่จำเป็นต้องปฏิบัติทั้งด้วยทรัพย์สิน ชีวิต หรือครอบครัว พวกเขาต้องเชื่อฟังเสมอ แม้นจะโดยทันทีหรือเชื่องช้าสักนิดก็ตาม... แล้วปมเงื่อนสำคัญ ซึ่งหมายถึงปมเงื่อนแห่งการตั้งภาคีและการปฏิเสธก็ถูกแก้ออก... พร้อมปมเงื่อนอื่นๆ ก็คลายออกเสียสิ้น นบีมุหัมมัด(ศ.ล.) เริ่มรณรงค์ต่อสู้กับพวกเขาโดยมิจำเป็นต้องเปิดฉากต่อสู้ไปในทุกเรื่อง ทั้งที่เป็นคำสั่งใช้หรือคำสั่งห้ามเลย เมื่อใดที่อิสลามสามารถเอาชนะญาฮิลียะฮฺในสมรภูมิครั้งแรกนี้ได้สำเร็จ แล้วชัยชนะในครั้งหลังก็จะตามมาอย่างง่ายดาย ทำให้ผู้คนเข้าสู่อิสลามทั้งด้วยหัวใจ เรือนร่างและวิญญาณทั้งหมด และจะไม่ฝ่าฝืนโต้แย้งนบีมุหัมมัด (ศ.ล.) อีกภายหลังจากทางนำเป็นที่ประจักษ์แก่พวกเขาแล้ว และจะไม่พบว่า พวกเขารู้สึกอึดอัดในสิ่งใดที่นบีมุหัมมัด(ศ.ล.) ตัดสินและไม่โลเลอีกในสิ่งที่ท่านใช้หรือห้ามไว้....
 
บทบัญญัติห้ามสุราถูกประทานลงมาขณะที่พวกเขากำลังยกแก้วซดน้ำเมาอย่างสุขสำราญ และแล้วพวกเขาก็ต้องเลือกเอาระหว่างคำสั่งของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ขณะริมฝีปากที่กำลังคาบติดอยู่กับขอบแก้ว ทั้งที่กระสันอยากจะยกซดดื่มปานใจจะขาด... และแล้วบรรดาถังเหล้าสุรายาดองทั้งหลายก็พลันถูกทุบแตกกระจายเนืองนองไปทั่วซอกซอยของเมืองมะดีนะฮฺ...
 
กระทั่งเมื่อโอกาสของชัยฏอนหมดไปจากอารมณ์ของพวกเขา หรือแม้แต่โอกาสของอารมณ์เองก็หมดไปด้วย... พวกเขารู้สึกเป็นธรรมต่อตนเองและต่อผู้อื่นมากขึ้น... อยู่ในโลกดุนยาดุจดั่งบุรุษแห่งอาคิเราะฮฺ และอยู่ในวันนี้เยี่ยงบุรุษของวันพรุ่ง... ไม่รู้สึกเศร้าโศกเมื่อคราวเคราะห์ หรือหยิ่งยโสเมื่อยามมีสุข... พวกเขาไม่หวั่นไหวต่อความจน ความรวย... อำนาจใดๆ ก็มิอาจทำให้พวกเขายอมสยบกลัวได้... พวกเขามิประสงค์ความโอหังหรือสร้างความเสียหายใดๆ บนพื้นโลก...
 
นอกจากความยุติธรรมอันเที่ยงตรงสำหรับมนุษย์   ที่ดำรงไว้ซึ่งความถูกต้อง เป็นประจักษ์พยานต่ออัลลอฮฺ (ซ.บ.) แม้นต่อตัวเอง ... พวกเขากลายเป็นที่พึ่งของมนุษยชาติ ปกป้องคุ้มครองโลก และเรียกร้องสู่ศาสนาแห่งพระผู้เป็นเจ้า...      เป็นผู้ที่ท่านศาสนทูตแห่งพระเจ้ามอบหมายเป็นผู้สืบทอดในพันธกิจ ขณะที่ท่านจะลาโลกไปอย่างภาคภูมิใจในประชาชาติและสาสน์ของท่าน...
 
การปฏิรูปที่นบีมุหัมมัด (ศ.ล.) สถาปนาขึ้นในจิตใจของบรรดามุสลิมและใช้พวกเขาเป็นสื่อต่อสังคมโลก นับเป็นปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่มีมาในหน้าประวัติศาสตร์มนุษยชาติ การปฏิรูปครั้งนี้ช่างแปลกในทุกประการ คือแปลกในแง่ของความรวดเร็ว ในแง่ของความลึกล้ำ และแปลกในแง่ของความกว้างขวางและครอบคลุม... รวมทั้งแปลกในแง่ความชัดเจนและสามารถเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับการปฏิรูปต่างๆ ที่มีแต่ความคลุมเครือน่าสงสัย และกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่รุนแรงที่สุดของมนุษยชาติ...
 
الله أكبر،الله أكبر،الله أكبر،ولله الحمد
 
มนุษย์ทั้งหลายก่อนนี้ มีชีวิตอยู่อย่างมืดมนทุกอย่างถูกก่อขึ้นเพื่อสนองความต้องการและเติมเต็มอารมณ์ของตนเอง... คนดีไร้ซึ่งรางวัล คนชั่วถูกปล่อยลอยนวลไร้บทลงโทษ... ไร้ศีลธรรมใดๆ...ขณะที่ศาสนาก็เป็นเพียงสิ่งผิวเผินในชีวิต ไม่มีผลใดๆต่อวิญญาณ ชีวิตและจิตใจของผู้คนเลย... ไร้ซึ่งอิทธิพลใดๆ ต่อจรรยามารยาทและการสังคมอยู่ร่วมกัน...
 
แต่สำหรับอิสลาม ได้สร้างความศรัทธาเป็นเสมือนสถาบันด้านจรรยา คอยขัดเกลาจิตใจ และเติมเต็มเจตจำนงอันกล้าหาญ หัวใจที่เข้มแข็งพร้อมหมั่นตรวจสอบตนเอง... ในบางครั้งบางคราว หากพลังแห่งความเป็นเดรัจฉานเกิดพยศ และทำให้มนุษย์ต้องพลั้งพลาด แม้นยามนั้น จะไม่มีสายตาใดพบเห็นหรือห่างไกลเกินมือกฎหมายก้าวล่วงถึงก็ตาม ความศรัทธานี้ก็แปรเปลี่ยนเป็นจิตใต้สำนึกอันแรงกล้าและเฝ้าคอยทิ่มแทงจิตใจหรือฝันร้ายอยู่ตลอดเวลา จนเจ้าของของมันมิอาจเป็นสุขอยู่ได้อีกต่อไป จนกว่าจะได้สารภาพผิดเบื้องหน้ากฎหมาย และพร้อมเสนอรับการลงโทษอันหนักด้วยท่าทีสงบและยินดี เพื่อหวังปลดเปลื้องจากความกริ้วโกรธของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) และการลงโทษในวันอาคิเราะฮฺ
 
การศรัทธาที่มีต่ออัลลอฮฺ (ซ.บ.) ต่อนบีมุหัมมัด (ศ.ล.) และวันสุดท้าย รวมทั้งการยอมนอบน้อมศิโรราบต่ออัลลอฮฺ (ซ.บ.) และศาสนาของพระองค์ ทำให้ชีวิตที่เคยบูดเบี้ยวได้เที่ยงตรงและมีค่าขึ้น... ทำให้ทุกปัจเจกชนในสังคมกลับคืนสู่ตำแหน่งที่เหมาะสมของตนเองโดยไม่มีความบกพร่องหรือการล่วงละเมิด กลไกแห่งมนุษยชาติได้กลายเป็นดั่งช่อดอกไม้หลากสีที่ปราศจากหนาม มนุษย์ทั้งหลายกลายเป็นครอบครัวเดียวกันที่ต่างถืออาดัมเป็นบิดา และอาดัมก็ถูกสร้างมาจากดิน คนอาหรับมิได้ประเสริฐเลอเลิศกว่าคนไม่ใช่อาหรับ และคนไม่ใช่อาหรับก็มิได้ประเสริฐเลิศเลอไปกว่าคนอาหรับ เว้นแต่ด้วยความยำเกรง (ต่อพระเจ้า) เท่านั้น 
 
นบีมุหัมมัด (ศ.ล.) กล่าวว่า พวกท่านทุกคนล้วนเป็นลูกหลานอาดัม ขณะที่อาดัมก็ถูกสร้างมาจากดิน และขอให้แต่ละกลุ่มหยุดการเอาบรรพบุรุษของตนเองมาอวดใหญ่อวดโต หรือ (มิฉะนั้น)พวกเขาจะประสบกับความต่ำต้อย ณ อัลลอฮฺยิ่งกว่าแมลงปีกแข็ง(ชนิดหนึ่ง)เสียอีก(รายงานโดยอะบูดาวูด/5118)
 
ทุกชนชั้น ทุกเชื้อชาติในสังคมมุสลิมล้วนต่างเอื้ออาทร ช่วยเหลือและอาศัยพึ่งพากันโดยไม่มีใครคิดจะเบียดเบียนกัน ขณะที่ผู้ชายก็อยู่ในฐานะผู้คุ้มครองดูแลผู้หญิงด้วยคุณสมบัติต่างๆที่อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ให้มาเหนือกว่าและด้วยทรัพย์สินเงินทองที่เขาต้องจ่ายไป... ผู้หญิงทั้งหลายก็เป็นกุลสตรีที่ดี เคร่งครัดศาสนา และรักษาความลับตามที่อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงรักษาไว้ สำหรับนางก็เช่นเดียวกับบุรุษในเรื่องความดีที่พึงได้รับ... ทุกคนในสังคมล้วนเป็นผู้มีหน้าที่และจะถูกสอบสวนในหน้าที่ที่รับผิดชอบ... ผู้นำมีหน้าที่ความรับผิดชอบและจะถูกสอบสวนในหน้าที่ความรับผิดชอบของเขา... บุรุษมีหน้าที่ต่อครอบครัวและจะถูกสอบสวนในหน้าที่ความรับผิดชอบของเขา...สตรีมีหน้าที่ในบ้านของสามีและจะถูกสอบสวนในหน้าที่ความรับผิดชอบของนาง... คนใช้ก็มีหน้าที่ดูแลทรัพย์สินของนายและจะถูกสอบสวนในหน้าที่ความรับผิดชอบของเขาเช่นเดียวกัน.. เหตุนี้สังคมมุสลิมจึงเป็นสังคมที่มีวุฒิภาวะ มีสติ และรับผิดชอบในหน้าที่ของแต่ละคนเสมอ...
 
الله أكبر،الله أكبر،الله أكبر،ولله الحمد
 
ในสังคมที่สับสนวุ่นวายเช่นนี้ นบีมุหัมมัด(ศ.ล.) ได้ลุกขึ้นมาคลายปมเชือกที่พันธนาการไว้ แล้วท่านก็กลายเป็นดั่งวิญญาณและร่างกาย ทำหน้าที่เป็นดั่งหัวใจและดวงตาของสังคม... ท่านคือมนุษย์ปุถุชนที่พระเจ้าทรงประทานคุณลักษณะแห่งความงดงามและสมบูรณ์สูงส่ง ... ผู้ใดได้พบเห็นท่านชัดๆ ก็จะเกรงขาม... และผู้ใดได้ใช้ชีวิตคลุกคลีอย่างลึกซึ้งก็จะรักและประทับใจ...
 
ด้วยศรัทธาอันกว้างขวาง ลึกซึ้ง และคำสั่งสอนอันชัดแจ้งของนบีมุหัมมัด(ศ.ล.) ... ด้วยการอบรมขัดเกลาที่ชาญฉลาด ละเอียดอ่อน และบุคลิกภาพอันเป็นอัตลักษณ์ของท่าน... ด้วยความประเสริฐของอัลกุรอาน คัมภีร์แห่งฟากฟ้าที่แฝงไปด้วยความมหัศจรรย์ต่างๆ มากมายอย่างไม่มีสิ้นสุด
 
คำสอนในลักษณะนี้เอง ที่ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ (ซ.บ.)ได้ชุบชีวิตใหม่ขึ้นมาท่ามกลางมนุษยชาติที่กำลังจะตกอยู่ในสภาพจวนเจียนจะหายนะ
 
ท่านพยายามมุ่งมั่นให้ทรัพยากรมนุษย์เหล่านั้น ซึ่งถือเป็นวัตถุดิบที่ไม่มีใครเคยล่วงรู้ถึงความสมบูรณ์มั่งคั่ง และไม่มีใครรู้ถึงสถานที่อยู่ของมันมาก่อนเลย เสมือนเมล็ดพันธุ์ที่ถูกกดทับอยู่ใต้แผ่นดิน... และแล้วด้วยอนุมัติแห่งอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ความศรัทธาและหลักความเชื่ออันถูกต้องก็งอกเงยขึ้นมา ณ สถานแห่งนั้น....พร้อมดวงวิญญาณใหม่ที่ถูกชุบชีวิตให้ฟื้นขึ้น ด้วยไออุ่นของสภาพแวดล้อมและพรสวรรค์อันเปล่งประกาย ทุกคนถูกวางตัวอย่างเหมาะสมกับสภาพที่ถูกสร้างให้มา... เป็นสถานที่ราวกับว่าไม่เคยถูกสำรวจหรือค้นพบมาก่อน... ราวกับวัตถุธาตุที่จู่ๆก็กลายเป็นรูปเป็นร่างที่เจริญเติบโตขึ้นและกลายเป็นมนุษย์ที่เคลื่อนไหว ... ราวกับซากศพที่เคยแน่นิ่ง แล้วกลายมามีชีวิตชีวาที่สามารถปฏิบัติภารกิจอย่างเต็มภาคภูมิ... ราวกับคนตาบอดที่มองไม่เห็นหนทาง จู่ๆ ก็กลายมาเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์คอยช่วยชี้นำมนุษยชาติ
 
ผู้ที่เคยตายสนิท ต่อมาเราทำให้เขาฟื้นชีวิตขึ้นแล้วทำให้เขามีรัศมีหนึ่งที่คอยส่องนำให้เขาเดินไปในท่ามกลางมนุษย์ จะเหมือนดั่งผู้ที่ตกอยู่ในความมืดมนไร้ซึ่งทางออกได้อย่างไรเล่า?”(อัลอันอาม , 6 : 122 )
           
ท่านมีความมุ่งมั่นทุ่มเทกับชนชาติอาหรับที่กำลังประสบความเสียหาย... รวมถึงมุ่งมั่นกับมนุษย์อื่นๆด้วย... เพียงไม่นานนักโลกก็พบว่า พวกเขากลายเป็นอัจฉริยะแห่งยุคสมัยหรือเป็นผู้นำ มนุษยชาติไปเสียแล้ว... อุมัร บิน   ค็อฏฏอบ ผู้ซึ่งเคยเป็นเพียงชายหนุ่มที่คอยเลี้ยงต้อนอูฐให้กับบิดา เป็นบุคคลที่ค่อนข้างบึกบึน กล้าหาญคนหนึ่งของชาวกุร็อยช์... ไม่เคยถูกคาดหวังจากสังคมสำหรับดำรงตำแหน่งอันสูงๆ... และบรรดามิตรสหายก็ไม่เคยคาดคิดด้วยว่าเขาจะมีศักยภาพสักปานใด... แต่ทันใดนั้น โลกก็ต้องตะลึงกับอัจฉริยภาพและความเป็นผู้นำของเขา ที่แม้แต่บัลลังก์ของกษัตริย์โคสโร ยังต้องสั่นสะเทือน
 
เช่นเดียวกับคอลิด อิบนุลวะลีด ผู้ซึ่งเป็นเพียงทหารม้าคนหนึ่งของกุร็อยช์ เป็นเด็กหนุ่มที่ช่ำชองในการรบแค่ในวงจำกัดแคบๆ ที่จำเป็นต้องมีบุคคลระดับผู้นำของกุร็อยช์คอยช่วยเหลือให้การชี้แนะเสมอ...ชื่อเสียงเรียงนามก็มิได้เป็นที่รู้จักนักในแถบอาณาเขตสมุทรอาราเบียน... แต่เมื่อเขาหันกลับมาชูดาบของพระเจ้า ทุกอย่างเบื้องหน้าก็มิอาจต้านทานเขาไว้ได้... เป็นประหนึ่งสายฟ้าผ่าที่ฟาดลงบนอาณาจักรโรมันและยังคงเหลือเป็นความจดจำอันนิรันดร์เหลืออยู่ในหน้าประวัติศาสตร์..
 
ทำนองเดียวกับอะบูอุบัยดะฮฺ ผู้มีคุณลักษณะของความปรองดอง มีสัจจะและอ่อนโยน ทำหน้าที่คุมกองทัพมุสลิม ครั้นขึ้นดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของกองทัพ เขาได้สร้างเกียรติประวัติเอาไว้ด้วยการขับไล่จอมทัพเฮราคลี-อุส (Heraclius) ออกไปจากอาณาเขตและทุ่งหญ้าอันอุดมของเมืองชาม(ซีเรียปัจจุบัน) ได้สำเร็จ พร้อมกับได้ทิ้งวจีอำลาอมตะหนึ่งไว้ คือ ขอสันติภาพจงมีแด่ซีเรีย เป็นสันติภาพที่มิอาจพบได้อีกหลังจากนี้
 
และนี้คือ อัมร์ อิบนุล-อาศ ผู้ถูกนับเป็นปัญญาชนคนหนึ่งของกุร็อยช์ ที่ถูกส่งไปพร้อมคณะทูตยังประเทศ   อะบิสสิเนีย เพื่อเจรจาขอให้กษัตริย์ส่งบรรดาผู้อพยพชาวมุสลิมกลับมักกะฮฺ ซึ่งครั้งนั้นเขาทำงานล้มเหลว... แต่แล้วเขากลับกลายมาเป็นผู้พิชิตอียิปต์ และได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ .
 
อีกท่านคือ ซะอ์ด บินอะบีวักกอศ บุคคลที่เราไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมาก่อนเลยในประวัติศาสตร์อาหรับก่อนยุคอิสลามว่า เขาเคยเป็นแม่ทัพทหารหรือหัวหน้ากองทัพใดๆ... แต่เขากลายมาเป็นผู้ทำหน้าที่เปิดเมืองต่างๆ ที่การพิชิตอีรัก และอีหร่านยังต้องพึ่งพาชื่อของบุคคลผู้นี้...
 
เช่นเดียวกับอะลี บินอะบีฏอลิบ, ซัลมาน อัล-ฟาริซีย์, บิลาลอัล-หะบะชีย์, ซัยด์ บินษาบิต, อัล-มิกดาด, อะบูอัล-ดัรดาอ์, อัมมาร์ บินยาซิร, มุอาซ บินญะบัล และอุบัยย์ บินกะอับ   บรรดาบุรุษที่ถูกพัดโบกไปตามลมหายใจของอิสลามและ กลายเป็นบุคคลที่เปี่ยมไปด้วยความสมถะมักน้อย และผู้ทรงความรู้อันล้ำลึก
 
ทำนองเดียวกันกับ เศาะฮาบะฮฺท่านอื่นซึ่งถูกสร้างมาภายใต้อุ่นไอแห่งการอบรมของท่านศาสนทูตผู้ไม่รู้หนังสือคือมุหัมมัด (ศ.ล.) จนพวกเขากลายเป็นบรรดาศาสตราจารย์ของโลก เป็นผู้จุดประกายความรู้ศาสตร์ต่างๆ มีถ้อยสำนวนที่เปี่ยมไปด้วยวิทยปัญญา ถือเป็นบุคคลที่จิตใจมีคุณธรรมที่สุด ความรู้ลึกซึ้งที่สุดและมักน้อยที่สุด ที่เมื่อพูดคำใดออกไป ทุกสมัยก็ต้องรับฟัง หรือให้ข้อคิดใดๆออกไป ปากกาแห่งประวัติศาสตร์ก็ต้องจดบันทึก...
 
พวกเขาเปรียบเสมือนวงแหวนที่แทบมองไม่เห็นขอบที่บูดเบี้ยว หรือเสมือนน้ำฝนที่หลั่งโปรยลงมา จนแทบไม่อาจทราบว่าห่าแรกหรือห่าต่อมาของมันดีกว่ากัน เป็นกลุ่มชนที่มีความเพียบพร้อมสมบูรณ์ในด้านต่างๆ ของความเป็นมนุษย์ ครอบคลุมทุกด้าน... เป็นกลุ่มชนที่ไม่พึ่งพาผู้ใด ในขณะที่มนุษย์ทั้งหลายจำเป็นต้องพึงพาพวกเขา... พวกเขาวางรากฐานแห่งความเจริญ และสถาปนารัฐขึ้นมาโดยไม่มีพันธะสัญญาใดๆ จึงไม่จำเป็นต้องยืมผู้เชี่ยวชาญจากประเทศไหน หรือขอความช่วยเหลือแนวการบริหารจัดการจากรัฐบาลใด... แต่พวกเขาสามารถสถาปนารัฐขึ้นมาที่แผ่ขยายอย่างกว้างขางและยิ่งใหญ่ที่สุดมายาวนานกว่า ศตวรรษ... คอยเติมเต็มในทุกๆ ความบกพร่อง คอยบำบัดทุกข์ บำรุงสุขของประชาชนอย่างเต็มกำลังและความรับผิดชอบ...
 
รัฐที่แผ่ขยายฐานออกไปอย่างกว้างขวางนี้ ถูกสถาปนาขึ้นมาโดยมีประชาชาติที่เพิ่งเกิดใหม่ที่คอยให้การอุปถัมภ์ค้ำจุนประชาชาติที่แทบไม่เคยหยุดนิ่งเฉยในการกระทำความดี ซึ่งในจำนวนนั้น มีทั้งผู้นำที่ยุติธรรม กองคลังที่ไว้ใจไดผู้ตัดสินที่ซื่อสัตย์  แม่ทัพนายกองที่เคร่งครัดศาสนา ผู้ปกครองที่นอบน้อมถ่อมตน พนักงานที่มีจิตสาธารณะ และพลทหารที่ยำเกรงพระเจ้า... ด้วยความประเสริฐของการอบรมสั่งสอนทางศาสนาที่ดำเนินอยู่ตลอด... ด้วยความประเสริฐของการเผยแผ่เชิญชวนสู่อิสลามที่ยังคงมีอยู่... เป็นวิชาหนึ่งที่ไม่เคยขาดหายไป เป็นเสบียงอาหารที่ไม่เคยสาบสูญ รัฐจึงยังคงถูกค้ำจุนให้ดำรงอยู่เสมอด้วยบรรดาบุรุษผู้ใฝ่อาคิเราะฮฺ ยิ่งกว่าเรื่องการเก็บส่วยภาษีจากประชาชน พวกเขายังคงเพียบพร้อมทั้งด้านการพัฒนาเปลี่ยนแปลงและด้านการเป็นอยู่... จากจุดนี้เองการพัฒนาแบบอิสลามได้ปรากฏโฉมที่แท้จริงออกมา... และชีวิตที่มีศาสนาได้แสดง

อัตลักษณ์ต่างๆ ออกมาอย่างชัดเจนที่สุดและไม่เคยสมบูรณ์เช่นนี้มาก่อนเลยในหน้าประวัติของมนุษยชาติช่วงใดๆ...
 
นบีมุหัมมัด (ศ.ล.)ได้ใช้ลูกกุญแจแห่งการเป็นศาสนทูตไขกุญแจแห่งธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ และแล้ว ขุมคลังแห่งปัญญาและพรสวรรค์ต่างๆมากมายก็ถูกเปิดเผยออกมาซึ่ง... ด้วยอำนาจของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ท่านจึงสามารถโน้มน้าวให้โลกที่เคยพยศ ยอมหมุนเปลี่ยนไปในทิศทางใหม่พร้อมกับเปิดศักราชแห่งความสันติสุข นั้นคือยุคของอิสลามที่ยังคงเป็นจุดขาวอยู่บนหน้าประวัติศาสตร์แทบเท่าทุกวันนี้...
 
ภายใต้การนำของผู้นำที่มีศักยภาพและประชาชาติที่ดีเลิศ โลกจึงสามารถพักผ่อนและนอนหลับอย่างสบายไร้กังวล ปลอดภัยจากการรุกรานที่โหดร้าย ประชาชนทุกหมู่เหล่าสามารถใช้ศักยภาพเต็มที่ในการพัฒนาสังคมสันติสุข ภายใต้การปกครองที่มีความเสมอภาคและยุติธรรม
 
الله أكبر،الله أكبر،الله أكبر،ولله الحمد
 
จากบทสรุปที่ผ่านมา ทำให้เราทราบว่า คุณลักษณะสำคัญของผู้นำและประชาชาติที่สามารถปฏิบัติภารกิจอันสูงส่งนี้ จะต้องประกอบด้วยคุณลักษณะอย่างน้อย 4 ประการ ได้แก่
 
1) ได้รับทางนำแห่งอัลกุรอานและจริยวัตรของนบี(สุนนะฮฺ)
2) ผ่านการอบรมบ่มเพาะด้านคุณธรรมจริยธรรมที่ถูกต้อง เข้มแข็งและต่อเนื่อง
3) มีทัศนคติที่สมบูรณ์และครอบคลุมในทุกมิติของการพัฒนา
4) มีทัศนคติที่ดีต่อการเมืองการปกครอง
 
ดังนั้น ณ มิมบัรฺแห่งนี้ ขอเชิญชวนพี่น้องทุกท่าน ลองทบทวนสังคมเรา

ในปัจจุบันว่า ทั้งผู้นำและประชาชนมีคุณสมบัติทั้ง 4 ประการหรือไม่อย่างไร
 
ผู้นำเกือบทุกระดับ แม้กระทั่งผู้นำระดับครอบครัว ท้องถิ่นและระดับชาติ ยังไม่ได้รับทางนำแห่งอัลกุรอานที่เข้มข้นพอ ไม่เคยผ่านการอบรมบ่มเพาะด้านคุณธรรมจริยธรรมที่ต่อเนื่อง มีทัศนคติที่คลาดเคลื่อนในทุกมิติของการพัฒนา และมองว่าการเมืองการปกครองคือทรัพย์เชลยที่ต้องแก่งแย่งชิงดีกัน ดังนั้น จึงไม่แปลกที่สังคมเรา จะอุดมไปด้วยผู้นำที่ขาดภาวะผู้นำ กอบโกยผลประโยชน์แก่ตนเองและเพื่อนพ้อง โดยที่ไม่ยินดียินร้ายกับคำเตือนของนบีมุหัมมัด (ศ.ล.) เลย ที่กล่าวว่า
 
ไม่มีผู้ปกครองคนใดที่รับผิดชอบบริหารจัดการในกิจการของมุสลิม แล้วเขาสิ้นชีวิตในสภาพที่ฉ้อฉลหลอกลวงประชาชนของเขา เว้นแต่อัลลอฮฺจะห้ามเขามิให้เข้าสวรรค์ (รายงานโดยอัลบุคอรีย์/7151)
 
แม้กระทั่งการได้มาของผู้นำก็เป็นที่ข้อกังขา การซื้อสิทธิ์ขายเสียง กลับกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว นบีมุหัมมัด (ศ.ล.) เคยยับยั้งมิให้คนที่ร้องขอ ขึ้นดำรงตำแหน่งที่เขาหมายปอง พร้อมกล่าวความว่า
 
เราจะไม่แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง สำหรับผู้ที่ร้องขอ และผู้ที่กระสันอยากจะได้ (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์/7149)
 
การคอร์รัปชั่นถือเป็นบาปใหญ่ที่อัลลอฮฺ (ซ.บ.)  และศาสนทูตของพระองค์ ได้สาปแช่งไว้ ดังที่มีหะดีษกล่าวความว่า
 
การสาปแช่งของอัลลอฮฺจะบังเกิดขึ้นทั้งผู้จ่ายสินบนและผู้รับสินบน (รายงานโดยอิบนุมาญะฮฺ/2401)
 
ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺได้สาปแช่งทั้งผู้จ่ายสินบนและผู้รับสินบน (รายงานโดยอัตติรมิซีย์/1387)
 
ท่านทั้งหลายลองคิดดูว่า หากสังคมใดที่อัลลอฮฺ (ซ.บ.) และศาสนทูตของพระองค์สาปแช่งแล้ว สังคมนั้นจะอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขได้อย่างไรยังไม่รวมถึงพฤติกรรมการแต่งตั้งผู้นำของประชาชนทั่วไป ที่มักเลือกพี่น้องผองเพื่อน ญาติสนิทมิตรสหาย โดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสมด้านอื่นๆ ใดๆ เลย และไม่แยแสกับคำเตือนของนบีมุหัมมัด (ศ.ล.) ซึ่งได้กล่าวความว่า
 
 “ผู้ใดที่แต่งตั้งชายคนหนึ่ง (ให้ปฏิบัติหน้าที่) ในกลุ่มชนหนึ่ง ทั้งที่ในกลุ่มชนนั้น มีบุคคลอื่นที่อัลลอฮฺพอใจยิ่งกว่า (มีความเหมาะสมกว่า ณ   อัลลอฮฺ) ผู้นั้นย่อมทรยศต่ออัลลอฮฺ ทรยศต่อศาสนทูตของพระองค์ และทรยศต่อบรรดาศรัทธาชน (รายงานโดยฮากิม/7123)
 
ปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีว่า สังคมอุดมด้วยอบายมุข ยาเสพติดเต็มบ้านเต็มเมือง ครอบครัวไร้ความอบอุ่น เยาวชนมีปัญหา ผู้ใหญ่ไม่รับผิดชอบ ผู้นำที่ไร้ภาวะผู้นำ ประชาชนที่หลงระเริงกับกลลวงชัยฏอน สังคมไร้เจ้าภาพที่จะสกัดกั้นการไหลทะลักของวัฒนธรรมไร้ศาสนา เยาวชนถูกมอมเมาด้วยวาทกรรมชัยฏอนที่ชักนำพวกเขาให้ซึมซับแนวคิดเซ็กส์เสรีตั้งแต่เยาว์วัย เจตนาที่แท้จริงที่มีการโหมโรงโฆษณาเรื่องยืดอกพกถุง คงไม่มีอะไรนอกจาก ต้องการหว่านล้อมชักจูงลูกหลานเราให้หมกมุ่นกับแนวคิดเซ็กส์เสรีอย่างแยบยลและแนบเนียนที่สุด สังคมในภาพรวมยังทำตัวไม่รู้ร้อนกับสิ่งเหล่านี้ โดยลืมคำเตือนของนบีมุหัมมัด (ศ.ล.) ที่กล่าวความว่า
 
ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ ที่ชีวิตฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ท่านทั้งหลายต้องกำชับใช้ในสิ่งดี และสั่งห้ามสิ่งชั่วร้าย หรืออัลลอฮฺจะส่งการโทษทัณฑ์จากพระองค์ แล้วท่านทั้งหลายก็จะขอดุอาต่อพระองค์ แต่ดุอาของท่านจะไม่เป็นที่ตอบรับแล้ว (รายงานโดยอัตติรมิซีย์/2323)
 
ดังนั้น เราทุกคนต้องเชื่อมั่นว่า ประชาชาตินี้จะไม่สามารถพัฒนาสู่ความดีงามได้ เว้นแต่ด้วยกลยุทธ์และมาตรการที่เคยทำให้ประชาชาติยุคก่อนได้ประสบกับความดีงามมาแล้ว ด้วยคุณสมบัติทั้ง 4 ประการข้างต้นเท่านั้น ที่ประชาชาติมุสลิมสามารถลุกขึ้นจากการหลับใหลและสามารถปฏิบัติภารกิจอย่างสมบูรณ์
 
ทุกภาคส่วนไม่ว่าทั้งภาครัฐและเอกชน องค์กรหรือปัจเจก จำเป็นต้องทุ่มเทศักยภาพที่มีอยู่ ทั้งกำลังความคิด กำลังแรงและกำลังทรัพย์ ในการยกระดับและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างจริงใจและจริงจัง ให้ความสำคัญกับอนุชนรุ่นหลังที่ต้องได้รับการอบรมบ่มเพาะด้วยวิถีอิสลามที่ถูกต้อง ครอบคลุม สมบูรณ์และต่อเนื่อง มีจิตสาธารณะ ใฝ่สันติ ไม่สุดโต่ง และมองโลกเป็นเวทีแห่งการแข่งขันทำความดี ไม่ใช่เป็นสังเวียนแห่งการทะเลาะเบาะแว้ง รบราฆ่าฟันกันอย่างไม่รู้จักจบ