บรรยากาศช่วงเย็น ทำให้ใครหลายคนต่างเลิกราจากการทำงาน เรียน หรือพักสายตา จากจอคอม นับเป็นบรรยากาศที่ชวนหลงใหลให้สัมผัส ถึงแม้ว่า เส้นทางที่จะพาให้เจอกับบรรยากาศเหล่านั้น จะอยู่ท่ามกลางเสียงมอเตอร์ไซค์ เสียงรถ หรือเสียงคนโหวกเหวก บนท้องถนนก็ตาม
ฉัน และเพื่อนพ้องสามคน เกิดอยากสนุก และเริ่มที่จะท้าทายกับโลกภายนอกยามเย็น ที่ใครต่อใครต่างเชิญชวนให้ออกกำลังกาย เพื่อให้ตัวเบาและสบายขึ้น
“ บรึ้มบริ้ม” เสียง มอเตอร์ไซค์ สองคัน ถูกสตาร์หน้าหอ เพื่อนำผู้โดยสารสี่คน ไปยังสถานที่ ที่หลายคนต่าง ฮิตในการออกกำลังกาย ซึ่งเป็นสถานที่ ที่มีบริเวณกว้าง เหมาะสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ การออกกำลังกาย การเต้นแอร์โรบิค และอาจจะรวมถึง สิ่งที่วัยรุ่นชอบทำมากที่สุดในพื้นที่แห่งนี้ คือ นัดสองต่อสองตามพุ่มไม้ใหญ่
แรงขา ถูกเร่งจากฝีเท้าที่เตรียมจะวิ่ง ส่วนแรงมือ ถูกแกว่งตามจังหวะขาที่ออกแรง การเคลื่อนไหวในครั้งนี้ แม้จะอึดอัด แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรค์ในการออกแรงแต่อย่างใดอาจจะด้วยเป็นวันหยุดสัปดาห์ จึงทำให้มีเพื่อนหน้าใหม่ และเพื่อนที่คุ้นเคยร่วมเร่งฝีเท้า บนทางเดิน สายนี้ไปด้วยกัน
สองข้างทางที่อยู่ระหว่างทางเดินที่ใช้วิ่ง โดยซ้ายมือจะปกคลุมด้วย พื้นหญ้า น้ำคลอง ต้นไม้ใหญ่ และ เครื่องเด็กเล่นที่ถูกประดับในบริเวณนั้น ส่วนขวามือ จะเป็นถนนใหญ่ ที่มีรถแล่นผ่านไปผ่านมา จะมีเพียงรั่ว ที่คั่นกลาง เพื่อสามารถแบ่งขอบเขตของ คน และ เครื่องยนต์ได้ชัดเจน
เฮ้อ เฮ้อ ! การถอนหายใจ อย่างหมดแรง เป็นอาการ ประจำตัวเมื่อรู้สึก ถึงคราที่ต้องลดฝีเท้า โดยเปลี่ยนจาก การวิ่ง มาเป็นเดิน ซึ่งการเดินของฉัน ก็ไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งรอบข้างว่าจะเคลื่อนไหวอย่างไรบ้างเพราะ สิ่งที่ฉันรอคอยที่อยู่เบื้องหน้า คือหยุดพัก อย่างที่ใจเรียกร้อง
เฮ้ย ! ทำไม ทำแบบนี้ว่ะ!เสียงอุทานจากการเปล่งที่มีต้นต่อ มาจากลำคอ ทำให้เสียงที่เข้าหูตัวเอง ค่อนข้างที่จะดัง ด้วยเพราะ สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าใต้ต้นไม้ใหญ่นั้น เป็นการเคลื่อนไหวของร่างหญิงที่เบาะบางบนร่างชายที่ไม่สมส่วน หากวัดกับ หุ่นนายแบบไทย สายตาที่ฉันมองไปยังสิ่งที่เคลื่อนไหวนั้นเป็นสายตาที่บังคับให้เท้า ต้องเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นการหยุดเดิน หรือวิ่ง เพื่อดู สิ่งที่เคลื่อนไหวนั้นให้ชัดเจนว่า เป็นสิ่งที่มีชีวิตลักษณะไหน ที่เคลื่อนไหวซ้อนทับกัน โดยไร้ซึ่งสิ่งกำบัง มีแต่ เพียงเสื้อผ้า ที่ปกปิดร่างหญิงสาวนั้นไว้ ส่วนเขาที่เป็นผู้ชาย มีเพียงเสื้อกันหนาวไว้บังใบหน้า ที่ถูกใช้เมื่อมีสายตา ที่มิใช่สายตาคู่ของฉัน เพียงคู่เดียวที่ กำลังจ้อง เขม็งเขาทั้งสองอยู่
"แกเห็น ใหมเมื่อกี้ เห็นแหละ ไม่น่าเลย อยากดูหน้าจัง แต่งงานกันยังว่ะ " เสียงสนทนาของฉัน และเพื่อนพ้องที่มาด้วยกัน พร้อมใจนั่งบนฟุตบาทที่ใกล้สนามหญ้า
ภาพดังกล่าวที่ถูกฉายในสวนสาธารณะ นำมาซึ่งการตั้งคำถาม และข้อสงสัยต่างๆให้กับ พวกเรา นับเป็น แรงบันดารใจให้เราตั้งหน้า ตั้งตา รอเขาทั้งสอง ที่จะออกจากสวนสาธารณะนี้ เพื่อรอที่จะดูใบหน้าอย่างชัดเจนว่า จะมีหน้าตาอย่างไร และอายุน่าจะเดา ได้ประมาณช่วงไหนแต่แล้วเวลา ไม่ค่อยอำนวยให้ เรารอคอยเขาทั้งสองได้ เพราะเวลาช่วงนั้นเป็นเวลาของตะวันตกดิน ที่ต้องรีบกลับหอ เราจึงตัดสินใจ ละการรอคอยเพื่อไปยังมอเตอร์ไซค์ที่จอดหน้าสวนสาธารณะแห่งนี้
"เฮ้อ นั่นไง เลี้ยวรถกลับ เลี้ยวรถกลับ" เสียงตะโกนจากเพื่อนที่ขับมอเตอร์ไซค์อีกคัน ตะโกนมายังรถคันหลังที่ฉันเป็นผู้ขับ ให้รู้ตัวว่า เป้าหมายมีการเคลื่อนย้ายแล้ว
หน้าตา เขาทั้งสอง ไม่สามารถทำให้ฉันคิดได้ว่า เขาแต่งงานแล้ว เพราะ การเดิน การหลบตา และหน้าตา มันไม่ใช่ ไม่ใช่คนที่แต่งงานแล้ว แล้วเป็นที่น่าสังเกต ว่าเขาทั้งสอง ขับรถคนละคันมายังสวนสาธารณะนี้
ใจหนึ่งอยากจะเข้าไปถามให้รู้แล้วรู้รอดว่า แต่งงานกันหรือยัง ส่วนอีกใจหนึ่งเฝ้าแต่ ภาวนาว่า เขาคงแต่งงานแล้วล่ะมั้ง
แสงสว่างจากดวงอาทิตย์กำลังจะลาลับจากขอบฟ้า เป็นเวลาเดียวที่ฉัน ต้องครุ่นคิด ถึง หนุ่มสาว ในสังคมปัจจุบัน ที่ต่างหลงกับโลกมายา ที่โดนพิษร้ายจากสังคม เกี่ยวกับความรัก ซึ่งฉันไม่อาจรู้ได้เลยว่า ความรักของเขาทั้งสอง เริ่มมาอย่างไร หรือ เขาทั้งสอง อาจจะแต่งงานแล้ว หรือยังไม่แต่งงานก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องควรละลึกถึงเสมอว่า ในสวนสาธารณะลักษณะนี้ ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะอยู่ในการเคลื่อนไหวลักษณะนั้น เพราะสิ่งเหล่านั้น เราไม่อาจอธิบายให้คนรอบข้างเข้าใจว่า เรามีสิทธิ์ที่จะอยู่ลักษณะนี้ หรือ ไม่มีสิทธิ์ที่จะอยู่ลักษณะนี้
ความรักที่เริ่มมา โดยวิธีการผิดๆ กระบวนการที่ผิดๆ ไม่ว่าจะเป็น การนัดหมาย การจับมือ การจูบ หรือก่อนที่จะทำอะไรเกินเลยกว่านี้ ก็ล้วนแล้ว เริ่มจากคำว่า "แฟน" กันทั้งนั้น