งามศุกร์ รัตนเสถียร
บันทึกครั้งที่ 1 : 1 กรกฎาคม 2014
ย่างเข้าสู่ปีที่ 4 ในการถือศีลอด คิดว่าปีนี้น่าจะลองเขียนบันทึกไว้เป็นความทรงจำ วันนี้เลยลงมือเขียน เริ่มถือศีลอดครั้งแรก เมื่อปี 2553 ระหว่างเดินจากศาลาไปปัตตานี เพื่อเรียกร้องให้คนไทย ใส่ใจปัญหาความรุนแรงที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มากขึ้น แต่ครั้งนั้นยังถือว่า ไม่สมบูรณ์แบบอย่างที่พี่น้องมุสลิมปฏิบัติกัน เพราะระหว่างทาง ยังดื่มน้ำอยู่ การถือศีลอดเป็นหมุดหมายที่โครงการเดินจากศาลาสู่สันติปัตตานีได้วางไว้ตั้งแต่แรก เพื่อที่จะเข้าถึงและเข้าใจความรู้สึกของพี่น้องมุสลิมในช่วงเวลา 1 เดือน ที่ต้องตื่นขึ้นมาหุงหาอาหารและปฏิบัติกิจตามหลักการศาสนาก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น และจะกินข้าวได้อีกทีก็หลังพระอาทิตย์ตก ซึ่งต้องใช้ความอดทนอดกลั้นต่อกิเลสปัญหาต่างๆไม่น้อย นอกจากจะอดอาหารแล้ว ยังต้องปิดวาจา รวมถึงความรู้สึกกำหนัดต่อเพศตรงข้าม และยังมีอีกหลายข้อปฏิบัติในช่วงเวลานี้ นับว่าเป็นช่วงการเรียนรู้ที่ดีของคนที่ไม่ใช่มุสลิม
ในช่วงปีที่สองที่สาม เท่าที่จำได้ ก็ยังมีการอดที่ไม่สมบูรณ์ แต่ก็ทำได้ดีกว่าครั้งแรก เท่าที่ย้อนความหลังได้ อดไม่ได้ครบตามกำหนด ขาดไปบ้างบางวัน แต่ก็พยายามชดเชยเท่าที่จำได้ ในช่วงระหว่างสองปีนี้ ก็เริ่มอดในวันจันทร์และพฤหัสบ้าง แล้วแต่ความสะดวกของตัวเอง ก็อดอาหารในช่วงสองวันนี้ เป็นสิ่งที่พี่น้องมุสลิมสมัครใจอดเอง แต่ในช่วงรอมฏอนถือว่าเป็นไฟลท์บังคับของศาสนาอิสลาม
แม้วันนี้ยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงภายในของตัวเองมากนัก แต่อย่างน้อยๆ เป็นความตั้งใจและมุ่งมั่นที่อยากจะปฏิบัติและเรียนรู้ จริงๆแล้วในช่วงเวลานี้ สมาธิจะจดจ่ออยู่กับตัวเองได้ค่อนข้างดี เพราะเวลาที่มีความหิวเกิดขึ้น จะดูแลความรู้สึกนี้อย่างทะนุถนอม ไม่ผลักไสไล่ส่งมัน และอยู่กับมันตลอดทั้งวัน ซึ่งเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเองอยู่บ้าง ที่ไม่มีความอยากหรือดิ้นรนทุรนทุรายเมื่อเกิดอาการหิวเหมือนกับช่วงเวลาปกติ
เมื่อวานนี้เกิดอาการหิวน้ำอย่างมากมายขณะนำวงคุยในโครงการปัญหาประชาธิปไตยและการถกแถลง การพูดไม่ราบรื่นเหมือนช่วงเวลาอื่น และสองวันแรกของการอด หลังจากที่กินเสร็จแล้วและได้นั่งวิปัสสนา ต้องล้มตัวนอนอีกครั้ง แต่วันนี้หลังจากนั่งวิปัสสนา ก็สามารถทำงานอื่นๆได้ต่อ คิดว่าน่าจะเป็นพัฒนาการค่อนข้างดี
บันทึกครั้งที่ 2 : 2 กรกฎาคม 2014
บันทึกเล็กๆที่เขียนขึ้นมาเมื่อวานนี้ เขียนด้วยเวลาที่จำกัด แต่ก็อยากทำมันทันที หลังจากที่เกิดความคิดว่า เราน่าจะเขียนประสบการณ์ชีวิตในช่วงนี้ เพื่อได้คุยกับตัวเองและถือเป็นการส่องกระจกตัวเองไปด้วยในตัว การเขียนอาจจะย้อนเวลาไปมาระหว่างอดีตกับปัจจุบัน นอกจากนี้ถือเป็นการสร้างวินัยการเขียนให้กับตัวเองไปด้วย หลังจากที่ตกอยู่ในความฝัน ก็อยากจะทำให้เป็นจริงบ้าง
วันนี้เป็นวันที่ 4 ของการถือศีลอด ผ่านพ้นมาได้อีกหนึ่งวัน
เช้านี้แตกต่างไปจาก 3 วันแรก ทำให้หวนคิดถึงเหตุการณ์การถือศีลอดเมื่อ 2 ปีที่แล้ว มีบางอย่างเกิดขึ้นคล้ายๆกัน
เมื่อวานนี้เดินทางมาทำงานที่สงขลาและจะต้องต่อไปที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ในอดีตเดินทางไปเชียงใหม่ เพื่อแลกเปลี่ยนกับนักศึกษาคณะวิจิตรศิลป์ เพราะฉะนั้นอาหารสำหรับมื้อเช้า ก็จะต้องตระเตรียมไว้ตั้งแต่ตอนกลางคืน ซึ่งอาหารที่ซื้อมาเป็นสลัดผักเหมือนกับคราวก่อน
เช้านี้ตอนเปิดสลัดผักก็อดหวั่นใจว่าจะบูดเมื่อครั้งที่ผ่านมาหรือเปล่า ระหว่างกินไปก็นึกถึงหน้าอาจารย์ประมวล และน้ำเสียงสั่นเครือตอนอาจารย์เล่าเรื่องอาหารบูดให้นักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ฟังในวันนั้น ตอนเล่าให้อาจารย์ฟังว่า ตื่นขึ้นมาพบว่าอาหารที่ซื้อมากินไม่ได้ ก็เล่าไปด้วยความปกติ แม้จะหวั่นกลัวว่า อาหารที่เหลือจะสามารถประทังไปได้ทั้งวันไหม แต่สำหรับตัวเองเมื่อเลือกแล้วที่จะฝึกฝนตนเอง ก็ยอมรับกับสิ่งที่ตั้งใจไว้ แต่เรื่องเล็กๆเป็นเรื่องที่มีความหมายสำหรับอาจารย์ประมวลเสมอ
อุปสรรคสำหรับคนไม่ใช่มุสลิมอาจจะแตกต่างไปจากคนมุสลิม ในการอดของเราไม่ได้อยู่ภายใต้หลักศาสนาอิสลาม จึงมีโอกาสที่จะถูกสั่นคลอนจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้นต้องใช้พลังแห่งศรัทธาและคุณค่าของการถือศีลอดจึงเป็นปัจจัยสำคัญ
หลายครั้งที่เพื่อนๆสงสัยว่าจะทำไปทำไม ทรมานตัวเองเปล่าๆ แม้ว่าจะอธิบายให้ฟังก็คงเป็นเรื่องยากที่จะยากเข้าใจ
เราพบว่าการได้สัมผัสกับความกลัวหิว เป็นอะไรที่สนุกมาก เพราะมันทำให้เห็นตัวเอง ในระหว่างที่กิน หากมีความกังวลมาก เราก็จะกินเผื่อช่วงเวลาจนจุกกันไปทีเดียว และเราก็จะโอดครวญด้วยความทรมานไม่น่าจะสวาปามไปขนาดนั้นเลย
หากเรากินอย่างมีสติ ก็จะกินเท่าที่ร่างกายจะรับ แต่จะไม่กินด้วยความยาก หรือด้วยความอร่อย และการเคี้ยวอาหารก็จะช้าลง ที่สำคัญเราจะรู้สึกพร้อมเผชิญหน้ากับความหิว
นอกจากเรื่องความหิวแล้ว ยังมีเรื่องความเป็นม้าพยศในตัวเอง ที่อยากจะลดละความดื้อดึง โมหะโทสะและอัตตาของตัวเอง แม้ว่ากิเลสตัณหาหรือโทสะเดิมๆที่เราปล่อยให้มีอิทธิพลเหนือใจมาเนิ่นนาน แต่ในช่วงการปฏิบัติอันศักดิ์นี้ จะมีพลังในการขัดเกลาใจที่หยาบได้เป็นอย่างดี และจะทำให้เรามีความระมัดระวังและดูใจตัวเอง ไม่ให้ปล่อยไปทำลายผู้อื่น เราจะมีความอ่อนไหวและละอายในใจสูงกว่าเวลาปกติ
แต่ที่พูดมาทั้งหมดไม่ได้หมายความว่าจะละวางได้เสียทีเดียว ยังคงปล่อยหมัดออกไปช่วงๆ เพราะของเก่าที่ต้องชำระล้างยังอีกเยอะ
คำถามที่ยังต้องการการไขคือ ทำไมเราถึงเกลียดคนบางคนเข้ากระดูกดำ แอบหวังลึกๆว่า การถือศีลอดในปีนี้จะค้นพบคำตอบเรื่องนี้
ปล.หากข้อมูลไหนที่ผิดหลักศาสนาอิสลาม รบกวนช่วยบอกมาด้วยค่ะ จักเป็นพระคุณยิ่ง