"มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮฺ (สุบหานะฮูวะตะอาลา) ผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลกขอความจำเริญและสันติจงประสบแด่ศาสนฑูตมุฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน"
ปีนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่า วันอีดิ้ลอ้ฎฮา สำหรบสังคมมุสลิม มีสองวันแน่นอนหลังสำนักจุฬาประกาศว่าวันอีด ตรงกับวันทื่ 5 ตุลาคม 2557 อีกกลุ่มหนึ่งประกาศผ่านทีวี ยูทูป ว่าตรงกับวันที่ 4 ตุลาคม 2557 ทำให้ชาวบ้านสับสน และนักวิชาการโต้กันไปมา ทั้งใช้หลักฐานเดียวกันคือ
ท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺเล่าว่า " صومكم يوم تصومون وفطركم يوم يفطرون وأضحاكم يوم تضحون " ความว่า "การถือศีลอดของพวกท่าน คือวันที่พวกท่านทั้งหลายถือศีลอด และวันอีดิลฟิฏริของพวกท่าน คือวันที่พวกท่านทั้งหลายออกอีดิลฟิฎริกัน และวันอีดิลอัฎฮา (หรือวันเชือด) ของพวกท่าน คือวันที่พวกท่านทั้งหลายออกอีดิลอัฎฮา (หรือเชือดสัตว์พลี) กัน" (บันทึกโดยอบูดาวูด หะดีษที่ 2324,บัยหะกีย์ หะดีษที่ 8300 และอัดดารุฎนีย์ หะดีษที่ 34)
อะไรคือสาเหตุ?
สำหรับอีดวันที่ 4 ตุลาคม 2557 ตรงกับซาอุดิอารเบียมีเหตุผลทางวิชการดังนี้
วันอีดิลอัฏฮาต้องเป็นวันเดียวกัน เนื่องจากมีหะดีษระบุชัดเจนว่า วันอีดิลอัฎฮาเป็นวันสำคัญของมุสลิมทั่วโลก ดั่งหลักฐานต่อไปนี้
ท่านอุกบะฮฺ บุตรของอามิรฺเล่าว่า ท่านรสูลุลลอฮฺกล่าวว่า
" يوم عرفة ويوم النحر وأيام التشريق عيدنا أهل الإسلام وهي أيام أكل وشرب " ความว่า "วันอะเราะฟะฮฺและวันนะหฺริและวันตัชรีก คือวันอีดของพวกเราชาวอิสลาม คือวันแห่งการกินและการดื่ม"
(บันทึกโดยอบูดาวูด หะดีษที่ 2066 บทว่าด้วยการถือศีลอด,ติรฺมิซีย์ หะดีษที่ 704, นะสาอีย์ หะดีษที่ 2954, อะหฺมัด หะดีษที่ 16739 และอัดดาริมีย์ หะดีษที่ 1699) สถานะของหะดีษถือว่า เศาะหี้หฺ (صحيح) อ้างจากหนังสือ " صحيح سنن الترمذي" เล่ม 1 หน้า 407-408 ลำดับหะดีษที่ 773
หะดีษข้างต้นท่านรสูลุลลอฮฺพูดไม่คลุมเครือ, ท่านรสูลกล่าวว่า "วันอะเราะฟะฮฺ" ซึ่งท่านรสูลมิได้กล่าวว่าวันที่ 9 ซุลหิญะฮฺ หากท่านรสูลกล่าวว่า วันที่ 9 ซุลหิจญะฮฺ เราอาจจะอ้างได้ว่า 9 ซุลหิจญะฮฺของประเทศใครประเทศมัน แต่นี้ท่านรสูลกล่าวชัดเจนว่า วันอะเราะฟะฮฺ ซึ่งวันอะเราะฟะฮฺบรรดาผู้ประกอบพิธีหัจญ์จะไปรวมตัวกันที่ทุ่งอะเราะฟะฮฺ บางคนจึงเรียกวันอะเราะฟะฮฺว่าวันวุกูฟ (وقوف คือการหยุดพำนัก) ก็มี, เมื่อท่านนบีบอกว่าวันอะเราะฟะฮฺ คำถามต่อมาคือ วันอะเราะฟะฮฺ หรือวันวุกูฟนั้นมีที่ไหนบ้าง? คำตอบคือ เมืองไทยไม่มีวันอะเราะฟะฮฺ หรือวันวุกูฟ
มีแต่ที่ประเทศซาอุดิอาระเบียแห่งเดียวเท่านั้น ฉะนั้นเมื่อวันอะเราะฟะฮฺมีที่เดียวจึงไม่ต้องแปลกใจ เพราะเมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็ต้องฟังการประกาศวันวุกูฟที่ประเทศซาอุฯ เท่านั้น
(โปรดดูบทความ มุรีด ทิมะเสน อ้างใน http://www.mureed.com/article/Eid_No_Wait/Eid_No_Wait.htm และยูทูปของ ผศ.ดร. อิสมาอีลอีลลุตฟีย์ จะปะกียา https://www.youtube.com/watch?v=OEmLNGiEHrA)
ในขณะที่ทัศนะตามคำประกาศสำนักจุฬาก็มีเหตุผลทางวิชาการโดยอาจารย์อาลื เสือสมิง ได้กล่าว่า (โปรดดูhttp://www.sunnahstudent.com/forum/archive.php?topic=2831.0)และยูทูปของท่าน (https://www.youtube.com/watch?v=x0DHVCZMHCQ#t=284 นักปราชญ์ในศาสนาอิสลามได้มีมติเห็นพ้อง (إتفاق) ในเรื่องนี้ว่า ให้ถือตามคำตัดสินชี้ขาดของผู้นำหรือองค์กรสูงสุดทางกิจการศาสนาอิสลามในแต่ละดินแดนเป็นข้อยุติ ดังกฎนิติศาสตร์อิสลามที่ระบุว่า
ومن المتفق عليه أن حكم الحاكم أو قرار ولي الأمر يرفع الخلاف فى الأمور المختلف فيها
"และส่วนหนึ่งจากมติที่เห็นพ้องนั้นคือ แท้จริงการชี้ขาดของผู้ปกครองหรือการแถลงการณ์รับรองของผู้นำ (วะลียุลอัมริ) จะขจัดข้อขัดแย้งในบรรดาเรื่องราวที่มีความเห็นขัดแย้งในเรื่องเหล่านั้น ดังนั้น หากผู้นำหรือองค์กรสูงสุดทางกิจการศาสนาอิสลามได้ให้น้ำหนักกับผลการดูดวงจันทร์เสี้ยวท้องถิ่นเป็นหลักก็ให้ถือตามนั้น ในทำนองเดียวกันถ้าหากผู้นำหรือองกรสูงสุดฯ ได้ให้น้ำหนักแก่ทัศนะที่ถือผลการดูดวงจันทร์เสี้ยวสากลเป็นหลัก ก็ให้ถือตามนั้นเป็นหลักเช่นกัน หากผู้มีปัญหาและมีความเป็นกลางได้ทำความเข้าใจกับประเด็นนี้อย่างถี่ถ้วนและปลอดจากมิจฉาทิฐิและก็จะเห็นว่า การนำเอามติเห็นพ้องของเหล่านักปราชญ์ข้างต้นมาบังคับใช้แล้ว ก็จะไม่เกิดปัญหาและความสับสนอย่างที่เป็นอยู่ อีกทั้งมติเห็นพ้องดังกล่าว ก็ถือเป็นกลไกของหลักนิติธรรมอิสลามในการขจัดปัญหา และการสร้างความสงบเรียบร้อยในสังคมของประชาคมมุสลิมอีกด้วย
ทั้งนี้การถกเถียงในหมู่นักวิชาการถึงเรื่องของจันทร์เสี้ยวท้องถิ่น และจันทร์เสี้ยวสากลนั้นเป็นการวนอยู่ในอ่าง เพราะเอาชนะกันโดยเด็ดขาดมิได้เนื่องจาก เป็นประเด็นของการวิเคราะห์ (الإجتهاد) จึงจำเป็นต้องอาศัยการให้น้ำหนัก (الترجيح) ของผู้ปกครองหรือผู้นำที่รับผิดชอบเป็นข้อยุติซึ่งถือเป็นหลักการในบัญญัติของศาสนา อีกข้อหนึ่งต่างหาก คือ หลักการที่ว่าด้วยเรื่องการตามผู้นำ (وليُّ الأمر) นั่นเอง ปัญหาที่เป็นอยู่ในขณะนี้ก็คือ ยังมีคนบางกลุ่มไม่ยอมรับหลักการที่ว่าด้วยเรื่องการตามผู้นำนั่นเอง มิหนำซ้ำคนบางกลุ่มที่ว่านี้ยังได้วิพากษ์วิจารณ์กลุ่มผู้คนส่วนใหญ่ที่ปฏิบัติตามผู้นำว่า เป็นกลุ่มที่มีความเชื่อเดิมๆ ซึ่งมิได้มุ่งหมายใช้สำนวนในทำนองของการเห็นด้วย (إقراري)
แต่มีนัยบ่งว่าไม่เห็นด้วย (إنكاري) กับความเชื่อเดิมนั้น ทั้งๆ ที่ความเชื่อเดิมที่ว่านี้ เป็นหลักการสำคัญของนิติธรรมอิสลามที่มิอาจปฏิเสธได้ นอกเหนือจากนั้นยังถือเป็นหลักความเชื่อ (عقيدة) ของฝ่ายอะหฺลิซซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ อีกด้วย (ดูรายละเอียดเรื่องนี้ในหนังสือ อัลอะกีดะฮฺ อัฏฏ่อฮาวียะฮฺ อรรถาธิบายโดย อัลลามะฮฺ อิบนุ อบิลอิซฺ อัลฮะนะฟีย์ ตรวจทานโดยกลุ่มนักวิชาการและตรวจสอบสถานภาพหะดีษโดยมุฮัมหมัด นาซิรุดดีน อัลอัลบานีย์ สำนักพิมพ์อัลมักตับ อัลอิสลามีย์ พิมพ์ครั้งที่ 9 (ฮ.ศ.1408-ค.ศ.1988) หน้า 379, 380, 381)
ในขณะที่บาบออิสมาอีล เสอร์ ปัญญังสนับสนุนแนวคิดนี้ได้ออกสื่อเช่นกัน https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=743082879099041&id=100001920...
ดร.วิสุทธิ บินล่าเตะ ผู้อำนวยการสำนักจุฬาราชมนตรีส่วนหน้า ได้เขียนทัศนะท่านผ่านเฟสบุคกล่าว่าว่า “โดยส่วนตัว ข้าพเจ้าเห็นด้วยที่จะให้การประกาศวันอีดิลอัฎฮาในประเทศไทยตรงกับคำประกาศของทางการซาอุ ฯ เพราะมีตัวบทนิติบัญญัติสนับสนุน และช่วยให้เกิดความเป็นเอกภาพในระดับภูมิภาคได้มากขึ้น แต่ข้าพเจ้าเข้าใจว่าพี่น้องที่สนับสนุนให้เอาการดูเดือนในประเทศเป็นเกณฑ์ โดยไม่อิงกับซาอุฯ ก็มีความเข้าใจที่มาจากตัวบทนิติบัญญัติเช่นกัน เรื่องนี้จึงเป็นประเด็นที่อุละมาอฺอาจตีความแตกต่างกันได้
ข้าพเจ้าเข้าใจว่าการตีความตัวบทนิติบัญญัติแตกต่างกัน เป็นธรรมชาติของมนุษย์ และเป็นเจตนาของผู้ตราตัวบทนั้น หากพระองค์จะทรงใช้ถ้อยคำให้มีความหมายเด็ดขาดชัดเจนไม่ให้ตีความได้หลายแง่มุม ก็ย่อมทำได้แต่ทรงเลือกใช้ถ้อยคำให้ตีความ เพราะทรงรู้ดีถึงธรรมชาติของมนุษย์ที่ทรงสร้างมาด้วยพระองค์เอง
ความจริง การดูเดือนเพื่อกำหนดวันอีดิลอัฎฮาเป็นสิ่งที่ทำกันมาหลายศตวรรษ ขณะเทคโนโลยีไม่ได้ก้าวหน้าอย่างในปัจจุบัน ครั้นเทคโนโลยีพัฒนาขึ้นจนการรับรู้ข่าวสารเป็นไปอย่างรวดเร็วแล้ว การปรับแนวทางมาสู่การพิจารณาผลการดูเดือนในซาอุ ฯ ก็ย่อมมีเหตุผลมากขึ้น กระนั้น เมือผู้คนส่วนใหญ่ยังยึดแนวปฏิบัติเดิม ซึ่งมีตัวบทนิติบัญญัติรองรับเช่นกัน และประมุขของมุสลิมในประเทศนี้เลือกที่จะใช้แนวทางเดิมอยู่ เพราะเห็นว่ายังไม่สามารถโน้มน้าวให้ผู้คนคล้อยตามแนวทางใหม่ได้ ข้าพเจ้าก็พร้อมที่จะเก็บความเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้าไว้ก่อน และยินดีปฏิบัติตามคำประกาศของผู้นำ เพราะการทำตามผู้นำในเรื่องนี้ ไม่ใช่การฝ่าฝืนคำสั่งแห่งอัลลอฮฺและรอซู้ลเลย เป็นประเด็นการวินิจฉัย ซึ่งหากผิดพลาดก็ได้หนึ่งผลบุญ หากถูกต้องก็ได้สองผลบุญ
ที่แน่ ๆ การประกาศสวนทางกับผู้นำในประเด็นอิจติฮาดเช่นนี้ และชักชวนให้ผู้คนฝืนคำประกาศ ย่อมเป็นการสร้างฟิตนะฮฺ ความแตกแยกในหมู่ประชาชนแทนที่ความเป็นเอกภาพที่มุ่งหวัง และสร้างความอ่อนแอแทนที่ความเข้มแข็งที่พึงมี ข้าพเจ้าเชื่อว่าการรักษาเอกภาพของสังคมเป็นประเด็นหลักในอิสลาม ส่วนการถือศีลอดวันอะรอฟะฮฺวันไหนเป็นประเด็นรองข้าพเจ้าเชื่อว่าการตออัตต่อผู้นำคือหนทางหลักของการสร้างเอกภาพ และเชื่อว่าการถือศีลอดวันอะรอฟะฮฺไม่ตรงกับวันวุกูฟที่ซาอุฯ กำหนด เพื่อรักษาสังคมไม่ให้เกิดฟิตนะฮฺ เป็นอิบาดะฮฺที่อัลลอฮฺจะทรงพอพระทัยข้าพเจ้าจะไม่เอาประเด็นรองมาทำลายประเด็นหลัก และไม่นำประเด็นการอิจติฮาดของอุละมาอฺมาสร้างความเป็นอริบาดหมางในหมู่อุมมะฮฺอย่างแน่นอน พระเจ้าได้โองการ
وﻻ تنازعوا فتفشلوا وتذهب ريحكم (اﻷنفال :46)
พวกเจ้าอย่าได้ทะเลาะแย่งชิงกันเลย เพราะพวกเจ้าจะล้มเหลว และความเข้มแข็งจะอันตรธานไปเสียสิ้น
(โปรดดูhttps://www.facebook.com/shukur.dina/posts/10204933775804558)
สำหรับผู้เขียนแล้วเมื่อเรื่องมีทัศนะที่แตกต่างกัน เราไม่ควรลืมหลักใหญ่ คือความเป็นพี่น้อง เอกภาพ สามารถอยู่ได้บนความแตกต่างทางวิชาการที่ไม่โจมตีซึ่งกันหรือเยกง่ายๆว่า แตกต่างแต่ไม่แตกแยก และขอกล่าว่า
SELAMAT HARI RAYA HAJI MAAF ZAHIR DAN BATIN
สุขสันต์วันอีดิลอัฎฮา ฮ.ศ.1435