อิสมาอีล บินอะหมัด
มูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม
จากกรณีที่นายทวีศักดิ์ ปิ ผู้สื่อข่าวจากสถานีวิทยุมีเดียสลาตัน นักกิจกรรมภาคประชาสังคมที่รณรงค์การสร้างสันติภาพโดยวิถีทางสันติไม่ใช้ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้เข้าร้องขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมจากการที่ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นประทวนที่อ้างว่ามาจากฝ่ายสืบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองปัตตานี ขอเข้าทำการตรวจค้นที่พักอาศัยและขอตรวจ-เก็บสารพันธุกรรม โดยอ้างอำนาจในการดำเนินการตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ. ๒๔๕๗ เมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๗ จนก่อให้เกิดการวิพากษ์ในสังคมนักกิจกรรมภาคประชาสังคมและในสังคมสื่อออนไลน์ว่า เป็นการใช้อำนาจในการเข้าข่มขู่ คุกคาม และองค์กรสิทธิมนุษยชนและองค์กรภาคประชาสังคมในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมและขอให้ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง และขอให้คืนหนังสือให้ความยินยอมในการตรวจ-เก็บสารพันธุกรรมที่นายทวีศักดิ์ ปิ ได้ลงลายมือชื่อไว้ต่อผู้กำกับการตำรวจภูธรเมืองปัตตานีนั้น
ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว มีประเด็นข้อกฎหมายที่น่าสนใจสองประการคือ
ประการแรก การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นประทวนอ้างการใช้อำนาจตามกฎอัยการศึกโดยมิได้มีเจ้าหน้าที่ทหารร่วมในการปฏบัติหน้าที่ทำการด้วย และมิได้มีหลักฐานแสดงการได้รับมอบหมายอย่างใดๆจากเจ้าหน้าที่ทหารให้มีอำนาจในการใช้อำนาจตามกฎอัยการศึกในการดำเนินการดังกล่าวได้ จึงมีปัญหาในทางปฏิบัติว่าเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ประการที่สอง การอ้างอำนาจตามกฎอัยการศึกขอทำการตรวจ-เก็บสารพันธุกรรม โดยเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่มีความเชี่ยวชาญ ไม่เป็นที่แน่ชัดว่ามีความรู้ความสามารถทางด้านนิติวิทยาศาสตร์ ไม่มีระบบการจัดเก็บฐานข้อมูลที่เป็นไปตามหลักมาตรฐานสากล ซึ่งอาจนำมาใช้เป็นพยานหลักฐานไม่ว่าในชั้นสืบสวน สอบสวน หรือชั้นศาล จะสร้างความมั่นใจให้กับผู้ที่ถูกเก็บสารพันธุกรรมได้อย่างไร นอกจากนี้ การอ้างกฎอัยการศึกซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษใช้บังคับกับผู้ต้องสงสัย เพื่อขอเก็บสารพันธุกรรม โดยไม่มีระเบียบหรือกฎหมายรองรับ และไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ที่ถูกตรวจเก็บสารพันธุกรรมนั้น เจ้าหน้าที่กระทำได้หรือไม่หรือรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่
บทความนี้มุ่งประสงค์ที่จะเสนอความเห็นทางข้อกฎหมายของผู้เขียนในประเด็นที่สองเท่านั้น ทั้งนี้เพราะเหตุการณ์ที่ทางเจ้าหน้าที่ความมั่นคงได้ดำเนินการตรวจ-เก็บสารพันธุกรรมจากประชาชนชาวมุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยอ้างอำนาจตามกฎหมายพิเศษ และให้ลงลายมือชื่อไว้ในหนังสือยินยอมนั้น ได้เกิดการร้องเรียนหลายครั้ง หลายคราต่อองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนว่า เป็นการละเมิดในสิทธิขั้นพื้นฐานในชีวิต ร่างกาย ตลอดจนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชนหรือไม่
เรามาดูว่า มีกฎหมายใดที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ใดในการตรวจ-เก็บสารพันธุกรรมได้
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ลักษณะ ๒ การสอบสวน หมวดที่ ๑ การสอบสวนสามัญ
มาตรา ๑๓๑ บัญญัติว่า “ให้พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานทุกชนิดเท่าที่สามารถจะทำได้ เพื่อประสงค์จะทราบข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ต่างๆอันเกี่ยวกับความผิดที่ถูกกล่าวหา เพื่อจะรู้ตัวผู้กระทำความผิดและพิสูจน์ให้เห็นความผิดหรือความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหา“
และมาตรา ๑๓๑/๑ บัญญัติว่า “ในกรณีที่จำเป็นต้องใช้พยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงตามมาตรา ๑๓๑ ให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจให้ทำการตรวจพิสูจน์บุคคล วัตถุหรือเอกสารใดๆ โดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ได้
ในกรณีความผิดอาญาที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสามปี หากการตรวจพิสูจน์ตามวรรคหนึ่งจำเป็นต้องจัดเก็บตัวอย่างเลือด เนื้อเยื่อ ผิวหนัง เส้นผมหรือขน น้ำลาย ปัสสาวะ อุจจาระ สารคัดหลั่ง สารพันธุกรรมหรือส่วนประกอบของร่างกายจากผู้ต้องหา ผู้เสียหาย หรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง ให้พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบมีอำนาจให้แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญดำเนินการตรวจดังกล่าวได้ แต่ต้องกระทำเพียงเท่าที่จำเป็นและสมควรโดยใช้วิธีการที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดน้อยที่สุดเท่าที่จะกระทำได้ ทั้งจะต้องไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายหรืออนามัยของบุคคลนั้น และผู้ต้องหา ผู้เสียหาย และบุคคลที่เกี่ยวข้องต้องให้ความยินยอม หากผู้ต้องหาหรือผู้เสียหายไม่ยินยอมโดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้สันนิษฐานไว้เบื้องต้นว่าข้อเท็จจริงเป็นไปตามผลการตรวจพิสูจน์ที่หากได้ตรวจพิสูจน์แล้วจะเป็นผลเสียต่อผู้ต้องหาหรือผู้เสียหายนั้นแล้วแต่กรณี
ค่าใช้จ่ายให้การตรวจพิสูจน์ตามมาตรานี้ ให้สั่งจ่ายจากงบประมาณตามระเบียบที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม หรือสำนักงานอัยการสูงสุด แล้วแต่กรณี กำหนดโดยได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง “
ตามบทบัญญัติกฎหมายที่อ้างมาสองมาตรานั้น จึงเห็นได้ว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มีเพียงมาตรา ๑๓๑/๑ เพียงมาตราเดียวที่บัญญัติถึงวิธีการในการตรวจ-เก็บและพิสูจน์สารพันธุกรรมไว้ จึงเห็นได้ว่า
๑ . ผู้มีอำนาจให้ทำการตรวจ-เก็บและพิสูจน์สารพันธุกรรมได้ คือพนักงานสอบสวนเท่านั้น (คือเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นสัญญาบัตร) ซึ่งหมายความว่า จะต้องมีการกระทำความผิดทางอาญาที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินกว่าสามปีเกิดขึ้นไป และได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาแล้ว
๒ . มีผู้ใดบ้างที่พนักงานสอบสวนให้ทำการตรวจ-เก็บพิสูจน์สารพันธุกรรม ตามกฎหมายมาตรานี้ ซึ่งมีเพียงสามประเภทเท่านั้น คือ ผู้ต้องหา ผู้เสียหาย และบุคคลที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น ผู้ต้องสงสัยตามกฎหมายพิเศษที่บังคับใช้ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และประชาชนโดยทั่วๆ จึงไม่เข้าข้อบังคับตามมาตรานี้
๓ . ใครที่จะเป็นผู้ตรวจ-เก็บพิสูจน์สารพันธุกรรม มาตรานี้กำหนดให้ แพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญดำเนินการตรวจดังกล่าวได้
๔ . กฎหมายมาตรานี้ยังกำหนดอีกว่า การตรวจ-เก็บตัวอย่างสารพันธุกรรมให้กระทำเพียงเท่าที่จำเป็นและสมควร โดยใช้วิธีการที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดน้อยที่สุดเท่าที่จะกระทำได้ และจะต้องไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายหรืออนามัย และ
๕ . ประเด็นข้อสุดท้ายที่จะกล่าวในบทความนี้คือ แม้ว่ากฎหมายมาตรานี้จะให้อำนาจแก่พนักงานสอบสวนในการขอให้ทำการตรวจ-เก็บ พิสูจน์ สารพันธุกรรม ได้ แต่มิใช่เป็นอำนาจอันเด็ดขาดของพนักงานสอบสวน กฎหมายมาตรานี้บัญญัติให้การดำเนินการดังกล่าวจะต้องได้รับความยินยอมจาก ผู้ต้องหา ผู้เสียหาย หรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งหากบุคคลดังกล่าวไม่ยินยอม การดำเนินการขอตรวจ-เก็บ พิสูจน์สารพันธุกรรม ก็มิอาจที่จะกระทำได้ ส่วนผลของการไม่ยินยอมกฎหมายให้สันนิษฐานเป็นอย่างไรนั้น รวมทั้งการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามมาตรานี้ จะไม่ขอกล่าวในบทความนี้
สรุป บทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๓๑/๑ เมื่อนำมาปรับกับข้อเท็จจริงกรณีที่เกิดขึ้นกับนายทวีศักดิ์ ปิ ผู้สื่อข่าวสถานีวิทยุมีเดียสลาตันแล้ว ไม่อยู่ในบังคับที่เจ้าหน้าที่จะใช้อำนาจตามมาตรานี้ได้เลย ทั้งนี้เพราะ นายทวีศักดิ์ ปิ ยังไม่ได้ตกเป็นผู้ต้องหา ผู้เสียหาย หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องเลย และเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นประทวนที่ขอดำเนินการตรวจ-เก็บสารพันธุกรรม ก็มิได้รับมอบหมายจากพนักงานสอบสวน อีกทั้งผู้ที่จะทำการตรวจ-เก็บสารพันธุกรรมต้องเป็น แพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นในการขอตรวจ-เก็บสารพันธุกรรมของประชาชน หรือผู้ต้องสงสัยในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็คือ การที่เจ้าหน้าที่ให้ลงลายมือยินยอมในเอกสารให้ทำการตรวจ-เก็บได้ ซึ่งเอกสารให้ความยินยอมจะใช้ได้หรือไม่ จะได้กล่าวต่อไปในบทความนี้
แต่ในเมื่อข้อเท็จจริงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนายทวีศักดิ์ ปิ เจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นประทวนได้อ้างอำนาจตามกฎหมายพิเศษ คืออำนาจตามกฎอัยการศึก บทความนี้จึงขอเสนอความเห็นทางกฎหมายต่อการใช้อำนาจตามกฎหมายพิเศษที่บังคับใช้อยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ๒ ฉบับคือ พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ.๒๔๕๗ และพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ ว่าตามบทบัญญัติของกฎหมายพิเศษทั้งสองฉบับ ได้ให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่ในการขอตรวจ-เก็บ สารพันธุกรรมของผู้ต้องสงสัยหรือประชาชนทั่วไปได้หรือไม่
กฎหมายพิเศษฉบับแรกที่ขอกล่าวในบทความนี้คือพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ. ๒๔๕๗ ได้บัญญัติให้อำนาจเจ้าหน้าที่ทหารในการใช้อำนาจตามกฎหมายนี้ตาม มาตรา ๘ บัญญัติว่า “เมื่อประกาศใช้กฎอัยการศึกในตำบลใด, เมืองใด, มณฑลใด, เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารมีอำนาจเต็มที่จะตรวจค้น, ที่จะเกณฑ์, ที่จะห้าม, ที่จะยึด, ที่จะเข้าอาศัย, ที่จะทำลายหรือเปลี่ยนแปลงสถานที่, และที่จะขับไล่”
ดังนั้น เมื่อมีการประกาศใช้กฎอัยการศึก ณ ที่ใดแล้ว อำนาจเต็มของเจ้าหน้าที่ทหารในการใช้อำนาจตามกฎอัยการศึกมีเพียง ๗ ประการ คือ การตรวจค้น, การเกณฑ์, การห้าม, การยึด, การเข้าอาศัย, การทำลายหรือเปลี่ยนแปลงสถานที่, และ การขับไล่ เท่านั้น ไม่มีบทบัญญัติใดที่จะให้อำนาจเจ้าหน้าที่ทหารในการตรวจ–เก็บสารพันธุกรรม
และตามบทบัญญัติของกฎหมายพิเศษฉบับที่สอง คือพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ ก็เช่นเดียวกัน ไม่มีบทบัญญัติในมาตราใดที่จะให้เจ้าหน้าที่ตามพระราชกำหนดฉบับนี้ มีอำนาจในการตรวจ-เก็บ สารพันธุกรรมแต่อย่างใด
แต่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในการตรวจ-เก็บสารพันธุกรรมของผู้ต้องสงสัยหรือของประชาชนทั่วไปในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เจ้าหน้าที่จะให้ผู้ถูกตรวจ-เก็บสารพันธุกรรมลงลายมือชื่อในเอกสารการให้ความยินยอมเพื่อใช้อ้างว่าผู้ถูกตรวจ-เก็บได้ให้ความยินยอมไว้แล้วประเด็นสำคัญจึงอยู่ที่ว่าหนังสือให้ความยินยอมดังกล่าวเจ้าหน้าที่สามารถนำมาอ้างได้โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ผู้เขียนใคร่ขอให้ทบทวนกรณีที่เกิดขึ้นกรณีหนึ่งในช่วงต้นๆของเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ กรณีที่ประชาชนจำนวนสามร้อยกว่าคนที่ถูกควบคุมตัวตามกฎอัยการศึกและพ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ เมื่อครบกำหนดระยะเวลาตามกฎหมายดังกล่าวแล้ว ได้นำเขาเหล่านั้นไปเข้าโครงการฝึกอาชีพในค่ายทหารที่จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี และจังหวัดระนอง เป็นเวลา ๓ เดือน โดยให้ประชาชนเหล่านั้นลงลายมือชื่อในหนังสือยินยอมเข้าโครงการดังกล่าว ต่อมามูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม ร่วมกับองค์กรสิทธิมนุษยชนที่เป็นเครือข่ายกันได้รับการร้องความช่วยเหลือจากญาติของผู้เข้าโครงการดังกล่าว จึงได้มีการยื่นคำร้องต่อศาลทั้งสามจังหวัดอ้างว่า เป็นการควบคุมตัวโดยมิชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๙๐ ให้เจ้าหน้าที่ทำการปล่อยตัวโดยพลัน ในการไต่สวนคำร้อง ทางเจ้าหน้าที่ได้นำเสนอพยานหลักฐานเป็นเอกสารในการให้ความยินยอมของประชาชนเหล่านั้นต่อศาลว่าเป็นความสมัครใจของคนเหล่านั้น ศาลทั้งสามจังหวัดได้ทำการพิจารณาและคำสั่งให้ปล่อยตัวประชาชนทั้งหมดจากโครงการดังกล่าวทันที โดยถือว่าเป็นการควบคุมตัวโดยมิชอบ และเอกสารที่ให้ประชาชนลงลายมือชื่อให้ความยินยอมไม่อาจที่จะรับฟังได้ เพราะเป็นการลงลายมือชื่อที่อยู่สภาวะที่ไม่อาจขัดขืนได้ จึงเป็นการลงลายมือชื่อโดยไม่สมัครใจ
ดังนั้น ต่อกรณีที่เจ้าหน้าที่ได้ให้ผู้ถูกตรวจ-เก็บสารพันธุกรรมลงลายมือชื่อในเอกสารให้ความยินยอม หากการลงลายมือชื่อดังกล่าวเป็นเพราะ ถูกกดดัน ข่มขู่ บีบบังคับ หรืออยู่ในสภาวะที่ไม่อาจขัดขืนได้ ก็มิอาจที่จะรับได้เช่นเดียวกัน
บทความนี้เป็นการนำเสนอในประเด็นของข้อกฎหมายในการตรวจ-เก็บสารพันธุกรรมต่อผู้ต้องสงสัย หรือประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเจ้าหน้าที่มักที่จะอ้างว่าเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายพิเศษ เพื่อที่จะนำเสนอให้ทั้งทางเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติและประชาชนโดยทั่วได้รับรู้ถึงตัวบทกฎหมายที่ได้ให้อำนาจในเรื่องนี้ไว้อย่างไร อีกทั้งยังถือว่าประเด็นการตรวจ-เก็บสารพันธุกรรมเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนเป็นอย่างยิ่งต่อการละเมิดสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๗ มาตรา ๔ ได้บัญญัติรับรองไว้ ซึ่งหากเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการไปโดยขาดองค์ความรู้ของการใช้อำนาจตามกฎหมายก็อาจจะเป็นการเสี่ยงต่อการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และที่สำคัญก็จะเกิดความไม่ไว้วางใจในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ว่าไม่ได้คำนึงถึงหลักนิติธรรม อันจะเป็นช่องว่างที่จะทำให้ความร่วมมือกันระหว่างเจ้าหน้าที่และประชาชนที่จะหาหนทางร่วมกันในการแสวงหาความสงบ และ สันติภาพ ให้เกิดขึ้นในพื้นที่แห่งความขัดแย้งนี้เป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น
และสำหรับประชาชนโดยทั่วไปก็จะได้ทราบถึงขอบเขตของการใช้อำนาจตามกฎหมายพิเศษของเจ้าหน้าที่ เพื่อจะเป็นเครื่องมือในการปกป้องสิทธิ เสรีภาพ ในชีวิต ร่างกาย และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ที่ใครผู้ใดก็จะละเมิดมิได้.