อ.มัสลัน มาหะมะ
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา
อิสลามให้ความสำคัญกับงานสาธารณกุศลเป็นอย่างยิ่ง งานสาธารณกุศลในที่นี้หมายถึงการที่มนุษย์พยายามสร้างคุณประโยชน์แก่คนอื่น ไม่ว่าจะเป็นคุณประโยชน์เชิงรูปธรรมหรือนามธรรมก็ตาม โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ เว้นแต่เพื่อแสวงหาความโปรดปรานของอัลลอฮฺ (ซ.บ.)
หัวใจของศรัทธาชนที่อุทิศตนทำงานด้านสาธารณกุศลนั้น นอกเหนือจะมีความผูกพันและโยงใยกับโลกอาคิเราะฮฺ(ปรโลกอันนิรันดร์) หวังในผลตอบแทนของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) และใฝ่ฝันที่จะเข้าสวนสวรรค์ของพระองค์แล้ว ชีวิตของเขาบนโลกนี้ ก็เต็มเปี่ยมด้วยความสิริมงคล หัวใจที่เบิกบาน มีชีวิตที่สดใสที่ไม่สามารถประเมินค่าเป็นตัวเลขได้
งานสาธารณกุศลจึงเป็นวัตถุประสงค์หลักของสาสน์อิสลามที่ประกาศโดยนบีมูฮัมมัด (ศ.ล.) ด้วยเหตุดังกล่าวอิสลามจึงเชิญชวนสู่การกระทำความดี ผ่านบทบัญญัติในอัลกุรอานและแบบอย่าง(ซุนนะฮฺ) สรุปได้ดังนี้
1. อิสลามได้กำชับให้ศรัทธาชนกระทำแต่ความดี ดังปรากฏในอัลกุรอานความว่า
“และจงประกอบความดี หวังว่าพวกเจ้าจะประสบความสำเร็จ” (อัลกุรอาน 22:77)
“และความดีใด ๆ ที่พวกเขากระทำ พวกเขาจะไม่ถูกปฏิเสธในความดีนั้นเป็นอันขาด และอัลลอฮฺทรงรู้ดีต่อบรรดาผู้ที่ยำเกรง”(อัลกุรอาน 3:115)
2. อิสลามกำชับให้ศรัทธาชนใช้วาจาที่สุภาพอ่อนโยน ดังปรากฏในอัลกุรอานความว่า
“และจงพูดจาแก่เพื่อนมนุษย์อย่างดี” (อัลกุรอาน 2:83)
นบีมูฮัมมัด (ศ.ล.) กล่าวไว้ความว่า
“ผู้ใดที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันอาคิเราะฮฺแล้ว เขาพึงใช้วาจาที่ดีหรือนิ่งเสีย”
3. อิสลามกำชับให้มุสลิมเร่งรีบในการกระทำความดี อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ตรัสไว้ความว่า
“และพวกเจ้าจงรีบเร่งกันไปสู่การอภัยโทษจากพระเจ้าของพวกเจ้า และไปสู่สวรรค์ซึ่งความกว้างของมันนั้น คือบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน โดยที่มันถูกเตรียมไว้สำหรับบรรดาผู้ที่ยำเกรง” (อัลกุรอาน 3:133)
อะบูฮุร็อยเราะฮฺเล่าว่า มีกลุ่มผู้ยากจนมาหานบีมูฮัมมัด (ศ.ล.) พร้อมร้องเรียนว่า บุคคลที่ร่ำรวยสามารถกอบโกยผลบุญอันมากมาย และได้พำนักอยู่ ณ ชั้นสูงสุดในสวนสวรรค์ พวกเขาละหมาดเหมือนพวกเราละหมาด พวกเขาถือศีลอดเหมือนกับเราถือศีลอด แต่พวกเขามีทรัพย์สมบัติอันเหลือเฟือในการทำหัจญ์ กระทำอุมเราะฮฺ ญิฮาดและการบริจาคทาน ในขณะที่พวกเราไม่สามารถกระทำเช่นนั้นได้ นบีมูฮัมมัด (ศ.ล.) จึงกล่าวว่า “เอาไหมล่ะ! ฉันจะบอกพวกท่าน หากพวกท่านปฏิบัติแล้ว พวกท่านจะได้ผลบุญมากกว่าผู้คนก่อนหน้าพวกท่านไม่มีใครที่สามารถเทียบเคียงพวกท่านและพวกท่านจะเป็นผู้ประเสริฐสุด เว้นแต่จะมีบุคคลที่กระทำเหมือนพวกท่าน ท่านทั้งหลายจงกล่าว ตัสบีหฺ (سُبْحَانَ الله) ตะหฺมีด(الحَمْدُ لِله) และตักบีร(اللهُ أَكْبَرُ)หลังละหมาดทุกครั้ง จำนวน 33 ครั้ง”
4. อิสลามเชิญชวนให้ศรัทธาชนกระทำแต่ความดี อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ตรัสไว้ความว่า
“และจงให้มีขึ้นในบรรดาพวกเจ้า ซึ่งคณะหนึ่งที่เชิญชวนไปสู่ความดีและใช้ให้กระทำสิ่งที่ชอบ และห้ามปรามมิให้กระทำสิ่งที่มิชอบ และชนเหล่านี้แหละคือผู้ได้รับความสำเร็จ” (อัลกุรอาน 3:104)
นบีมูฮัมมัด (ศ.ล.) กล่าวไว้ความว่า
“ผู้ใดที่ชี้แนะให้กระทำความดี เขาจะได้ผลบุญเทียบเท่ากับผู้ที่ปฏิบัติความดีนั้น”
5. อิสลามสอนให้มุสลิมส่งเสริมการกระทำความดี อัลกุรอานกล่าวไว้ความว่า
“เจ้าเห็นแล้วมิใช่หรือ ผู้ที่ปฏิเสธการตอบแทน นั่นก็คือผู้ที่ไม่สนใจใยดีต่อเด็กกำพร้า และไม่สนับสนุนในการให้อาหารแก่ผู้ขัดสน” (อัลกุรอาน 107:1-3)
อัลกุรอานได้เล่าถึงสาเหตุของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาที่ต้องเข้านรกว่า
แท้จริง เขามิได้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺผู้ยิ่งใหญ่ และเขามิได้ส่งเสริมให้อาหารแก่คนขัดสน” (อัลกุรอาน 69:33-34)
อัลกุรอานได้ประณามผู้ปฏิเสธศรัทธาว่า
ความว่า “มิใช่เช่นนั้นดอก แต่ว่าพวกเจ้ามิได้ให้เกียรติแก่เด็กกำพร้าต่างหาก และพวกเจ้ามิได้ส่งเสริมกันในการให้อาหารแก่คนยากจนและขัดสน” (อัลกุรอาน 89:17-18)
อัลกุรอานข้างต้นสอนให้เรารู้ว่า นอกจากอิสลามได้สั่งใช้มุสลิมให้อาหารแก่ผู้ขัดสนแล้ว อิสลามได้เพิ่มภารกิจแก่มุสลิมด้วยการกำชับให้เขาสนับสนุนและส่งเสริมในการให้อาหารแก่ผู้ยากไร้อีกด้วย
6. อิสลามสอนให้มุสลิมมีความตั้งใจที่จะกระทำความดี
ผู้ใดที่ไม่มีความสามารถที่จะกระทำความดี อิสลามเปิดโอกาสให้เขาตั้งใจที่จะกระทำความดี เพราะการตั้งใจที่บริสุทธิ์ย่อมประเสริฐกว่าการกระทำที่มีนัยที่ไม่ดีแอบแฝงอยู่ ดังปรากฏใน หะดีษที่นบีมูฮัมมัด (ศ.ล.) กล่าวไว้ความว่า “โลกใบนี้มีไว้เพื่อคน 4 ประเภทได้แก่ 1) บ่าวที่อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงประทานทรัพย์สมบัติและความรู้ให้แก่เขา เขาเกรงกลัวอัลลอฮฺ (ซ.บ.) และกระชับสัมพันธ์ไมตรีระหว่างเพื่อนนุษย์และเขารับรู้สิทธิของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ที่พึงให้ บุคคลผู้นี้คือบุคคลที่ประเสริฐสุด 2) บ่าวที่อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงประทานความรู้แต่ไม่ประทานทรัพย์สมบัติให้แก่เขา เขาจึงตั้งใจอย่างบริสุทธิ์และกล่าวว่า “หากฉันมีทรัพย์สมบัติแล้ว ฉันจะกระทำเหมือนกับคนๆ นั้น เขาจึงตั้งใจที่จะกระทำความดีตลอดเวลา ดังนั้นเขาทั้งสองคนได้รับผลบุญอย่างเท่าเทียมกัน 3) บ่าวที่อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงประทานทรัพย์สมบัติแต่ไม่ประทานความรู้ เขาจึงทำลายทรัพย์สมบัติของเขาโดยปราศจากความรู้ ไม่เกรงกลัวอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ไม่กระชับสัมพันธ์ไมตรีระหว่างเพื่อนมนุษย์และไม่รับรู้สิทธิของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ที่พึงให้ บุคคลผู้นั้นคือบุคคลที่ชั่วช้าที่สุด และ 4) บ่าวที่อัลลอฮฺไม่ประทานทั้งทรัพย์สมบัติและความรู้ แต่เขากล่าวว่า “หากฉันมีทรัพย์สมบัติ ฉันจะกระทำเยี่ยงคนๆ นั้น เขาจึงตั้งใจที่จะกระทำความชั่วอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเขาทั้งสองคนจะได้รับบาปอย่างเท่าเทียมกัน”
7. อิสลามส่งเสริมให้กระทำความดี แม้เพียงน้อยนิด อัลกุรอานได้กล่าวไว้ความว่า
“ดังนั้น ผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าละอองธุลี เขาก็จะเห็นมัน” (อัลกุรอาน 99:7)
อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ได้ตรัสอีกความว่า
“แท้จริงอัลลอฮฺจะไม่ทรงอธรรมแม้เพียงน้ำหนักเท่าผงธุลี และถ้ามันเป็นสิ่งที่ดีอย่างหนึ่งอย่างใด พระองค์ก็จะทรงเพิ่มพูนความดีนั้นเป็นทวีคูณ และทรงประทานให้จากที่พระองค์ ซึ่งรางวัลอันใหญ่หลวง” (อัลกุรอาน 4:40)
นบีมูฮัมมัด (ศ.ล.) กล่าวไว้ความว่า
“การบริจาคจำนวน 1 ดิรฮัม มีคุณค่าที่ประเสริฐกว่า 100,000 ดิรฮัม” เหล่าเศาะฮาบะฮฺจึงถามว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? นบีมูฮัมมัด (ศ.ล.) จึงตอบว่า “ ผู้ชายคนหนึ่งมีเงินจำนวน 2 ดิรฮัม เขาได้บริจาคจำนวน 1 ดิรฮัม (ครึ่งหนึ่งของทรัพย์สมบัติของเขา)ในขณะที่ชายคนหนึ่งไปที่กรุสมบัติของเขาและได้บริจาคจำนวน 100,000 ดิรฮัม”
8. อิสลามประณามคนที่ขัดขวางการทำความดี
การขัดขวางการกระทำความดีเป็นส่วนหนึ่งของผู้ที่มีนิสัยอันต่ำช้าโสมม ดังอัลกุรอานกล่าวไว้ความว่า
“และเจ้าอย่าปฏิบัติตามทุกคนที่เป็นนักสาบานที่ต่ำช้า ผู้นินทาตระเวนใส่ร้ายผู้อื่น ผู้ขัดขวางการทำความดี ผู้อธรรมล่วงละเมิดและกระทำบาป” (อัลกุรอาน 68:10-12)
อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ได้ตรัสอีกความว่า
“เจ้าทั้งสอง(2 มะลาอิกะฮฺ) จงโยนทุกคนที่ปฏิเสธศรัทธา และดื้อรั้นลงในนรกญะฮันนัม ผู้ขัดขวางการทำดี ผู้ฝ่าฝืนและเคลือบแลง(ในวันปรโลก)” (อัลกุรอาน 50:24-25)
9. อิสลามส่งเสริมสู่การกระทำความดี อัลกุรอานกล่าวไว้ความว่า
“และพวกเจ้าจงช่วยเหลือกันในสิ่งที่เป็นคุณธรรมและความยำเกรง และจงอย่าช่วยกันในสิ่งที่เป็นบาปและเป็นศัตรูกัน และพึงกลัวเกรงอัลลอฮฺเถิด แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงรุนแรงในการลงโทษ” (อัลกุรอาน 5:2)
นบีมูฮัมมัด (ศ.ล.) กล่าวไว้ความว่า
“อุปมาผู้ศรัทธาด้วยกัน อุปมัยดั่งอาคารหลังหนึ่งที่ทุกส่วนต่างค้ำจุนซึ่งกันและกัน” และ นบีมูฮัมมัดได้สอดนิ้วมือทั้งสองข้างของท่านเข้าด้วยกัน
10. ผู้ที่มีส่วนร่วมในการทำความดี ย่อมได้รับผลบุญอย่างเท่าเทียมกัน
ท่านหญิงอาอิชะฮฺเล่าว่า นบีมูฮัมมัด (ศ.ล.) กล่าวว่า “หากหญิงคนหนึ่งบริจาคอาหารที่มีประโยชน์ที่มีอยู่ในบ้านของนาง นางจะได้รับผลบุญจากการที่นางบริจาคไว้ สามีของนางก็จะได้รับผลบุญเนื่องจากเขาเป็นผู้แสวงหา และคนใช้ในบ้านก็จะได้ผลบุญเช่นเดียวกัน(เนื่องจากมีส่วนร่วมในการทำความดี) ทั้ง 3 คนจะได้รับผลบุญอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่มีการลดหย่อนแต่อย่างใด”
เช่นเดียวกันกับผู้ที่ทำงานในองค์กรสาธารณกุศลต่างๆ ถึงแม้เขาจะทำงานโดยรับเงินเดือนประจำหรือค่าตอบแทนอื่นๆ หากเขามีความตั้งใจที่บริสุทธิ์เพื่ออัลลอฮฺ (ซ.บ.) แล้ว เขาจะได้รับผลบุญเช่นเดียวกันกับผู้บริจาคทุกประการ
คุณลักษณะเฉพาะของงานสาธารณกุศลในอิสลาม
งานสาธารณกุศลในอิสลามมีคุณลักษณะเฉพาะสรุปได้ดังนี้
1. มีความครอบคลุม
งานสาธารณกุศลในอิสลาม มีอาณาบริเวณและเนื้อที่กว้างขวางที่ครอบคลุมทุกอย่างที่เป็นความดี อิสลามสอนให้มุสลิมปฏิบัติความดีแก่ทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก่บรรดาผู้ที่ต้องการได้รับความช่วยเหลือ ไม่ว่าคนๆ นั้นจะอยู่ใกล้หรือไกล เป็นมิตรหรือศัตรู มุสลิมหรือชนต่างศาสนิก มนุษย์หรือสิงสาราสัตว์
มุสลิมไม่ได้รับอนุญาตให้วางกรอบการกระทำความดีเฉพาะแก่พวกพ้องหรือญาติสนิทเท่านั้น ความโกรธแค้นและความเป็นศัตรูไม่สามารถเป็นกำแพงสกัดกั้นมิให้มุสลิมปฏิบัติความดี มุสลิมจึงเป็นบุคคลที่แผ่เมตตาแก่ทุกสรรพสิ่ง ดังนบีมูฮัมมัด (ศ.ล.) กล่าวไว้ความว่า
“จะไม่มีสิทธิ์เข้าสวรรค์ เว้นแต่ผู้ที่มีจิตใจโอบอ้อมอารี บรรดาเศาะฮาบะฮฺจึงกล่าวว่า พวกเราทุกคนมีจิตใจที่โอบอ้อมอารีอยู่แล้ว นบีมูฮัมมัดจึงกล่าวว่า แท้จริง มิใช่เป็นการโอบอ้อมอารีแก่บรรดาญาติสนิทมิตรสหายเท่านั้น แต่เป็นการโอบอ้อมอารีที่ครอบคลุมทุกสิ่ง”
อิสลามสอนให้มุสลิมกระทำความดี แม้ต่อชนต่างศาสนิก อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ตรัสไว้ความว่า
“อัลลอฮฺ มิได้ทรงห้ามพวกเจ้าในการที่พวกเจ้าจะทำความดีและให้ความยุติธรรมแก่บรรดาผู้ที่มิได้ต่อต้านพวกเจ้าในเรื่องศาสนาและพวกเขามิได้ขับไล่พวกเจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้า แท้จริง อัลลอฮฺทรงรักผู้มีความยุติธรรม” (อัลกุรอาน 60:8)
อัลลอฮฺได้ตรัสอีกความว่า
“และพวกเขาให้อาหารเนื่องด้วยความรักต่อพระองค์แก่คนยากจน เด็กกำพร้าและเชลยศึก” (อัลกุรอาน 76:8)
สังเกตุได้ว่า อัลกุรอานกำชับให้มุสลิมกระทำความดี แม้แต่กับเชลยสงคราม และถือว่าการกระทำดังกล่าว เป็นคุณสมบัติของบรรดาศรัทธาชนที่แท้จริง
อิสลามสอนให้มุสลิมกระทำความดีแม้ต่อสิงสาราสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์เลี้ยงเพื่อบริโภคหรือใช้งาน ดังนบีมูฮัมมัด (ศ.ล.) กล่าวไว้ความว่า “ท่านทั้งหลายจงยำเกรงอัลลอฮฺด้วยการทำความดีแก่สัตว์เลี้ยง จงขับขี่มันด้วยดี และจงบริโภคมันด้วยดี”
อิสลามสอนให้มุสลิมกระทำความดีแม้ต่อแมว สุนัขและสัตว์อื่นๆ และระบุว่าการกระทำความดีต่อสัตว์ดังกล่าว เป็นสาเหตุหนึ่งของการเข้าสวรรค์ ในขณะที่การทำร้ายหรือกระทำทารุณสัตว์ เป็นสาเหตุแห่งความพิโรธของอัลลอฮฺ จนทำให้คนนั้นต้องถูกทรมานในขุมนรก ( ขออัลลอฮฺทรงคุ้มครอง )
2. มีความหลากหลาย
ความดีมีมากมายหลายประเภท ดังนั้นมุสลิมทั้งปัจเจกหรือองค์กรไม่ควรจำกัดความดีเพียงมิติเดียวที่คับแคบ แต่เขาต้องพยายามหาวิธีการทำความดีที่หลากหลายแบบองค์รวมครบวงจร ตามความต้องการของสังคมและกำลังขีดความสามารถของแต่ละคน
ในบางครั้งเขาอาจทำความดีด้วยการบริจาคทรัพย์สมบัติ ให้อาหาร มอบเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มหรือบริจาคความดีที่เป็นรูปธรรมทั้งหลาย
ในบางครั้งเขาอาจทำความดีเชิงนามธรรม อาทิให้การสั่งสอนอบรม และทำความเข้าใจในศาสนา สร้างรอยยิ้มให้แก่เพื่อนมนุษย์ ผ่อนทุกข์คลายกังวล ซับน้ำตาแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก ให้กำลังใจ ให้ความหวังในความโปรดปรานของอัลลอฮฺ ขจัดความท้อแท้สิ้นหวัง ในบางครั้งเขาอาจบริจาคทรัพย์สินเงินทอง ให้ยืมสิ่งของหรือเงินแก่ผู้ที่เดือดร้อน ซึ่งนบีมูฮัมมัด (ศ.ล.) ได้สอนว่าผลบุญของการให้ยืมมีมากกว่าการบริจาคทานเสียอีก
ในบางครั้งเขาอาจบริจาคเวลาและความคิดหรือความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเช่นแพทย์ วิศวกรหรือผู้เชี่ยวชาญด้านอื่นๆ ซึ่งอาจจะบริจาคเวลาเพียง 1 ชั่วโมงต่อ 1 สัปดาห์ หรือ 10 วันใน 1 ปีเพื่องานสาธารณกุศล เพราะในบางกรณี การบริจาคเวลาและทรัพย์สินทางปัญญาหรือความเชี่ยวชาญ มีประโยชน์และเป็นที่ต้องการมากกว่าการบริจาคทรัพย์สินเงินทองด้วยซ้ำไป
ในบางครั้งเขาอาจจะไกล่เกลี่ยคู่กรณีที่บาดหมางกัน สั่งใช้กระทำความดีและห้ามปรามความชั่วหรือการบริจาคด้วยคำพูดที่ไพเราะหรือแม้แต่เก็บขยะหรือสิ่งปฏิกูลบนท้องถนนที่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้เดินทาง
มีหะดีษบทหนึ่งความว่า อะบูฮุร็อยเราะฮฺเล่าว่า ฉันได้ยินนบีมูฮัมมัด (ศ.ล.) กล่าวว่า “ แท้จริงฉันเห็นชายคนหนึ่งกำลังกลิ้งตัวอย่างมีความสุขในสวรรค์ เนื่องจากเขาเคยตัดทิ้งต้นไม้ที่ล้มทับบนถนน เพื่อมิให้สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้คนที่สัญจรไปมา” (รายงานโดยมุสลิม)
มีหะดีษที่เล่าโดยอะบูซัรความว่า “ฉันถามรสูลุลเลาะฮฺว่าอะไรหรือที่ทำให้คนๆ หนึ่งรอดพ้นจากไฟนรก นบีตอบว่าศรัทธาต่ออัลลอฮฺ”
ฉันถามว่า : โอ้นบีจำเป็นต้องมีอะมัล(การปฏิบัติ)พร้อมกับการศรัทธาด้วยหรือ?
นบีตอบว่า : ท่านจงบริจาคทรัพย์สมบัติเล็กๆ น้อยๆ จากสิ่งที่อัลลอฮฺทรงประทานแก่ท่าน
อะบูซัรถามว่า : หากเขาเป็นคนอนาถาที่ไม่สามารถบริจาคสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เลย
นบีตอบว่า : จงสั่งใช้ในความดี และห้ามปรามความชั่ว
อะบูซัรถามว่า : หากเขาไม่มีความสามารถสั่งใช้ความดีและห้ามปรามความชั่ว
นบีตอบว่า : จงช่วยเหลือคนอื่นในการงานที่เขาถนัด
อะบูซัรถามว่า : หากไม่มีงานที่เขาถนัด
นบีตอบว่า : จงช่วยเหลือผู้ถูกรังแกอย่างอธรรม
อะบูซัรถามว่า : โอ้นบี หากเขาเป็นผู้อ่อนแอไม่สามารถช่วยเหลือผู้ถูกรังแกอย่างอธรรม
นบีตอบว่า : จงหวังในสิ่งดีๆ แก่เพื่อนของเขาและจงยับยั้งการกระทำที่สร้างความเดือดร้อนแก่เพื่อนมนุษย์
อะบูซัรถามว่า : โอ้รสูลุลเลาะฮฺ! หากเขากระทำดังกล่าวเขาจะเข้าสวรรค์ได้หรือไม่
นบีตอบว่า : ไม่มีศรัทธาชนคนใดที่กระทำอย่างใดอย่างหนึ่งจากการกระทำดังกล่าว เว้นแต่สิ่งนั้นจะนำพาเขาเข้าสู่สวนสวรรค์
3. มีความต่อเนื่อง
คุณลักษณะพิเศษอีกประการหนึ่งของงานสาธารณกุศลในอิสลามคือ มีความต่อเนื่อง ทั้งนี้การทำความดีของมุสลิมจะมีความเกี่ยวเนื่องกับความศรัทธาและความเป็นมุสลิมของเขา ซึ่งเขาจำเป็นต้องปฏิบัติเมื่อถึงเวลาที่อิสลามบังคับให้กระทำ เช่น การจ่ายซะกาตทรัพย์สมบัติเมื่อครบจำนวนและเวลาที่กำหนด การจ่ายซะกาตฟิฏเราะฮฺเมื่อถึงวันรายอฟิฏรี ในขณะเดียวกันมุสลิมมีหน้าที่ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่มีความเกี่ยวเนื่องกับเงื่อนเวลา เช่น การทำความดีแก่เพื่อนบ้าน ญาติสนิทมิตรสหาย การอุปถัมภ์ช่วยเหลือผู้ขัดสนและเด็กกำพร้า ให้อาหารแก่เพื่อนบ้านที่กำลังหิวโหย ดังที่นบีมูฮัมมัด (ศ.ล.) กล่าวไว้ความว่า “จะไม่เป็นผู้ศรัทธาสำหรับผู้คนที่นอนหลับในเวลากลางคืนในสภาพที่อิ่มหนำ ทั้งๆที่เขารู้ว่ามีเพื่อนบ้านกำลังหิวโหยอยู่”
เช่นเดียวกันกับการให้พำนักพักพิงแก่ผู้เดินทาง ให้เกียรติและดูแลแขกผู้มาเยี่ยมมาเยือน ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เดือดร้อนและการทำความดีอื่นๆ อีกมากมายที่เปิดกว้างสำหรับมุสลิมแข่งขันในการสะสมแต้มแห่งความดีเพื่อแสวงหาความโปรดปรานของอัลลอฮฺ มุสลิมทุกคนจึงใฝ่ฝันที่จะกระทำแต่ความดี ไม่ว่าในรูปแบบของการลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ความตั้งใจอย่างมุ่งมั่นหรือการเชิญชวนและเสนอแนะคนอื่นให้ปฏิบัติความดี ซึ่งทุกฝ่ายล้วนได้รับผลบุญจากอัลลอฮฺ อย่างเท่าเทียมกัน
คุณค่าการทำงานในอิสลาม มิใช่ประเมินด้านปริมาณที่มากมายเพียงอย่างเดียว อัลลอฮฺ (ซ.บ.) จะทรงตอบแทนคุณงามความดีที่ได้ปฏิบัติแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม ดังอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ตรัสไว้ความว่า
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าละอองธุลี เขาก็จะเห็นมัน” (อัลกุรอาน 99:7)
บรรดาเศาะฮาบะฮฺเคยบริจาคทานเสี้ยวหนึ่งของลูกอินทผาลัมหรือองุ่นเม็ดหนึ่ง พร้อมกล่าวว่า อินทผาลัมหรือองุ่นเม็ดนี้ประกอบด้วยละอองธุลีอันมากมายที่เราจะต้องได้รับผลบุญในวันแห่งการตอบแทน
อิบนุมัสอูดเล่าว่า นบีมูฮัมมัด (ศ.ล.) กล่าวว่า “ท่านทั้งหลายมีหน้าที่ป้องกันตัวเองจากไฟนรก แม้ด้วยการบริจาคเสี้ยวหนึ่งของลูกอินทผาลัม”
บางคนสร้างเงื่อนไขให้แก่ตนเองในการทำงานสาธารณกุศลโดยยึดเงื่อนเวลาเป็นตัวกำหนด อาทิช่วงที่เป็นนักศึกษา ช่วงที่ยังไม่มีครอบครัว ช่วงที่ยังไม่มีภาระ ช่วงที่สุขสบาย ช่วงที่อยู่ในตำแหน่งที่ดีๆหรือช่วงหลังเกษียณ เมื่อยังไม่ถึงหรือสิ้นสุดเงื่อนเวลาดังกล่าวแล้ว เขาก็จะหันหลังกับงานสาธารณกุศลอย่างสิ้นเชิง แต่สำหรับมุสลิมผู้เปี่ยมศรัทธาแล้ว งานสาธารณกุศลคือส่วนหนึ่งของชีวิตเขาที่ขาดช่วงไม่ได้ เขาพยายามทำงานด้านสาธารณกุศลตราบใดที่มีกำลังความสามารถและโอกาสที่เอื้ออำนวยแม้ว่าเขาจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม
4. มีแรงจูงใจอันสูงส่ง
คุณลักษณะพิเศษของการทำงานสาธารณกุศลในอิสลามที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ ความมีแรงจูงใจอันสูงส่งที่ช่วยผลักดันให้มุสลิมยอมอุทิศตนทำงานด้วยความสมัครใจ มีใจสาธารณะ ยึดมั่นในหลักการการทำความดีอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งท้าทายและบททดสอบ มีความมุ่งมั่นใฝ่สัมฤทธิ์ทำงานสู่ความสำเร็จโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและเบื่อหน่าย ส่วนหนึ่งของแรงจูงใจอันสูงส่งดังกล่าวได้แก่
4.1 แสวงหาความโปรดปรานของอัลลอฮฺ (ซ.บ.)
ประการแรกที่เป็นแรงจูงใจที่สำคัญสำหรับมุสลิมในการทำงานสาธารณกุศลคือ การแสวงหาความโปรดปรานและความพึงพอใจจากอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ดังอัลกุรอาน กล่าวไว้ความว่า
“และพวกเขาให้อาหารเนื่องด้วยความรักต่อพระองค์แก่คนยากจน เด็กกำพร้าและเชลยศึก (พวกเขากล่าวว่า) แท้จริงเราให้อาหารแก่พวกท่าน โดยหวังความโปรดปรานของอัลลอฮฺ เรามิได้หวังการตอบแทนและการขอบคุณจากพวกท่านแต่ประการใด” (อัลกุรอาน 76:8-9)
อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ได้ตรัสอีกความว่า
“และอุปมาบรรดาผู้ที่บริจาคทรัพย์ของพวกเขา เพื่อแสวงหาความพึงใจของอัลลอฮฺ และเพื่อให้เกิดความมั่นคงแก่ตัวของพวกเขาเองนั้น ดังอุปมัยสวนแห่งหนึ่ง ณ ที่เนินสูง ซึ่งมีฝนหนักประสบแก่มัน แล้วมันก็นำมาซึ่งผลของมันสองเท่า แต่ถ้ามิได้มีฝนหนักประสบแก่มัน ก็มีฝนปรอยๆ และอัลลอฮฺนั้นทรงเห็นในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกันอยู่” (อัลกุรอาน 2:265)
ส่วนหนึ่งของการแสวงหาความโปรดปรานของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) คือ ความใฝ่ฝันที่จะเป็นส่วนหนึ่งของชาวสวรรค์ การได้รับผลบุญและความสุขสบายในสวรรค์แหล่งพำนักอันนิรันดร์ ดังปรากฏในหะดีษกุดซีย์ที่อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ตรัสว่า “ฉันได้เตรียมสำหรับบ่าวที่ดีของฉันในสวรรค์ ด้วยการตอบแทนที่มนุษย์ไม่เคยประจักษ์ด้วยสายตา ไม่เคยสดับรับฟังด้วยหู และไม่เคยคาดคิดโดยจินตนาการ จงอ่านอัลกุรอานความว่า
“ดังนั้น จึงไม่มีชีวิตใดรู้การตอบแทนที่ถูกซ่อนไว้สำหรับพวกเขา ให้เป็นที่รื่นรมย์แก่สายตา เป็นการตอบแทนในสิ่งที่พวกเขาได้กระทำไว้” (32:17)
มุสลิมทุกคนใฝ่ฝันที่จะเข้าสวรรค์ซึ่งมิใช่เป็นเพียงพำนักแห่งความรื่นรมย์หรรษาที่สามารถสำผัสได้เท่านั้น แต่ยังเป็นวิมานแห่งความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ดังอัลกุรอานกล่าวไว้ความว่า
“อัลลอฮฺได้ทรงสัญญาแก่บรรดามุมินชายและบรรดามุมินหญิง ซึ่งบรรดาสวนสวรรค์ ซึ่งมีแม่น้ำหลายสายไหลอยู่ภายใต้สวนสวรรค์เหล่านั้น โดยที่พวกเขาจะอยู่ในนั้นตลอดกาล และบรรดาสถานที่พำนักอันดีซึ่งอยู่ในบรรดาสวนสวรรค์แห่งความวัฒนาสถาพร และความโปรดปรานจากอัลลอฮฺนั้นใหญ่กว่า นั่นคือชัยชนะอันใหญ่หลวง” (อัลกุรอาน 9:72)
แรงจูงใจด้านจิตวิญญาณอันสูงส่งเช่นนี้เป็นแรงผลักดันให้บรรดาเศาะฮาบะฮฺเร่งรีบการกระทำความดีภายหลังจากพวกเขาได้สดับรับฟังอัลกุรอานที่เชิญชวนให้กระทำความดี โดยไม่แสดงอาการหวงแหนทรัพย์สมบัติที่เป็นเพียงสิ่งครอบครองนอกกายแต่อย่างใด ประการเดียวที่เป็นความใฝ่ฝันขอกพวกเขาคือการได้รับการตอบแทนอันนิรันดร์จากอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ดังปรากฏในหะดีษที่เล่าโดยอะนัสความว่า
“อะบูฏ็อลหะฮฺเป็นชาวอันศ็อรผู้มีสวนอินทผาลัมมากที่สุด และสวนอินทผาลัมที่เขารักและหวงแหนมากที่สุดคือสวนที่ชื่อว่า บัยรุหาอฺ ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าของมัสยิดนบี นบีมูฮัมมัดเคยเข้าในสวนและดื่มน้ำอันใสสะอาดจากสวนดังกล่าว หลังจากที่อายะฮฺอัลกุรอานถูกประทานลงมาความว่า
“พวกเจ้าจะไม่ได้คุณธรรมเลยจนกว่าพวกเจ้าจะบริจาคจากสิ่งที่พวกเจ้าชอบ และสิ่งใดที่พวกเจ้าบริจาคไป แท้จริงอัลลอฮฺทรงรู้ในสิ่งนั้นดี” (อัลกุรอาน 3/92) อะบูฏ็อลหะฮฺจึงรีบไปหานบีมูฮัมมัด พร้อมกล่าวว่า โอ้รสูลุลเลาะฮฺ อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ได้ตรัสความว่า “พวกเจ้าจะไม่ได้คุณธรรมเลยจนกว่าพวกเจ้าจะบริจาคจากสิ่งที่พวกเจ้าชอบ” สวนที่ฉันรักและหวงแหนมากที่สุดคือสวน บัยรุหาอฺ ดังนั้นฉันบริจาคสวนนี้โดยหวังในความดีและเก็บรักษา ณ อัลลอฮฺ ท่านจงใช้ประโยชน์จากสวนนี้ตามที่ท่านเห็นควรเถิด นบีมูฮัมมัดจึงตอบด้วยความดีใจว่า “นับเป็นทรัพย์สมบัติที่มีกำไร นับเป็นทรัพย์สมบัติที่มีกำไร”
4.2 แรงจูงใจด้านจริยธรรม
อัลกุรอานได้สร้างแรงจูงใจอันสำคัญสำหรับมุสลิมที่ทำงานด้านสาธารณกุศลด้วยการเรียกว่าพวกเขาเป็นบรรดาผู้ยำเกรง เป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริง เป็นผู้มีสติปัญญา เป็นผู้กระทำความดี และเป็นบรรดาคนดี ดังอัลกุรอานกล่าวไว้ความว่า
“คัมภีร์นี้ ไม่มีความสงสัยใด ๆ ในนั้น เป็นทางนำสำหรับบรรดาผู้ยำเกรงเท่านั้น คือบรรดาผู้ศรัทธาต่อสิ่งเร้นลับและดำรงไว้ซึ่งการละหมาด และส่วนหนึ่งจากสิ่งที่เราได้ให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเขานั้น พวกเขาก็บริจาค” (อัลกุรอาน 2:2-3)
อัลลอฮฺได้ตรัสอีกความว่า
“คือบรรดาผู้ที่ดำรงไว้ซึ่งการละหมาดและส่วนหนึ่งจากสิ่งที่เราได้ให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเขา พวกเขาก็บริจาค ชนเหล่านี้แหละพวกเขาคือ ผู้ศรัทธาอย่างแท้จริง โดยที่พวกเขาจะได้รับหลายชั้น ณ พระเจ้าของพวกเขา และจะได้รับการอภัยโทษและปัจจัยยังชีพอันมากมาย” (อัลกุรอาน 8:3-4)
อัลลอฮฺได้ตรัสอีกความว่า
“ และบรรดาผู้อดทนโดยหวังพระพักตร์ (ความโปรดปราน) ของพระเจ้าของพวกเขา และดำรงการละหมาดและบริจาคสิ่งที่เราได้ให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเขา โดยซ่อนเร้นและเปิดเผย และพวกเขาขจัดความชั่วด้วยความดี ชนเหล่านั้นสำหรับพวกเขาคือที่พำนักในบั้นปลายที่ดี” (อัลกุรอาน 13:22)
อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ได้ตรัสอีกความว่า
และในทรัพย์สมบัติของพวกเขาจัดไว้เป็นส่วนของผู้เอ่ยขอ และผู้ไม่เอ่ยขอ” (อัลกุรอาน 51:19)
มุสลิมทุกคนใฝ่ฝันที่จะพัฒนาตนเองให้เป็นหนึ่งในจำนวนผู้คนที่อัลกุรอานได้กล่าวพาดพิงข้างต้น ทั้งนี้เพื่อยกระดับตนเองเข้าสู่การเป็นศรัทธาชนที่แท้จริงที่จะได้รับการตอบแทนที่ยั่งยืนจากอัลลอฮฺ (ซ.บ.)
4.3 มีความสิริมงคล(บะเราะกะฮฺ)และได้รับตอบแทนบนโลกนี้
เนื่องจากอิสลามเป็นศาสนาที่กำหนดเป้าหมายให้แก่มุสลิมใช้ชีวิตที่สามารถรวบรวม 2 ความดีงามทั้งความดีงามบนโลกนี้และความดีงามในปรโลก ดังนั้น นอกเหนือจากการที่มุสลิมใฝ่ฝันที่จะได้รับความดีงามในปรโลกแล้ว เขาก็จะได้รับอานิสงส์บนโลกนี้ด้วยเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความบะเราะกะฮฺ(สิริมงคล)ในชีวิตทั้งตนเอง ครอบครัว ทรัพย์สินเงินทอง และการได้รับการตอบแทนจากอัลลอฮฺอย่างคุ้มค่า ดังอัลกุรอานกล่าวไว้ความว่า
“และหากว่าชาวเมืองนั้นได้ศรัทธากันและมีความยำเกรงแล้วไซร้ แน่นอนเราก็เปิดให้แก่พวกเขา ซึ่งบรรดาความบะเราะกะฮฺ(สิริมงคล)จากฟากฟ้าและแผ่นดิน” (อัลกุรอาน 7:96)
อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ได้ตรัสอีกความว่า
“และผู้ใดยำเกรงอัลลอฮฺ พระองค์ก็จะทรงหาทางออกให้แก่เขาและจะทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่เขาจากแหล่งที่เขามิได้คาดคิด และผู้ใดมอบหมายแด่อัลลอฮฺ พระองค์ก็จะทรงเป็นผู้พอเพียงแก่เขา”(65:2-3) อัลลอฮฺได้ตรัสอีกความว่า
“และอันใดที่พวกเจ้าบริจาคจากสิ่งใดก็ดี พระองค์จะทรงทดแทนมัน และพระองค์นั้นทรงเป็นผู้ดีเลิศแห่งบรรดาผู้ประทานปัจจัยยังชีพ” (34:39)
นบีมูฮัมมัด (ศ.ล.) กล่าวไว้ความว่า
“ทุกๆ เช้าของบ่าวทุกคน จะมีมะลาอิกะฮฺ(เทวทูต) 2 มะลาอิกะฮฺ ลงมาโดยมะลาอิกะฮฺหนึ่งจะกล่าวว่า โอ้อัลลอฮฺขอได้โปรดประทานสิ่งทดแทนสำหรับผู้บริจาคด้วยเถิด ในขณะที่มะลาอิกะฮฺหนึ่งกล่าวว่า โอ้อัลลอฮฺขอได้โปรดประทานความพินาศแก่ผู้ตระหนี่ขี้เหนียวด้วยเถิด”
กวีอาหรับได้กล่าวไว้ความว่า
“จงบอกฉัน ผู้บริจาคใจบุญคนไหนบ้างที่หมดตัวเยี่ยงยาจกอนาถา
และจงบอกฉัน ผู้ตระหนี่ขี้เหนียวคนใดบ้างที่มีชีวิตค้ำฟ้าชั่วนิรันดร์”
การตอบแทนความดีงามบนโลกนี้มีลักษณะที่หลากหลาย เช่น การปลอดภัยจากโรคภัยไข้เจ็บ การมีสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์และแข็งแรง การมีหัวใจที่เบิกบาน มีครอบครัวที่เปี่ยมสุข การมีลูกหลานที่ดีและประสบผลสำเร็จ มีทรัพย์สินเงินทองที่เพียงพอและไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่น ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและมีคุณภาพ ดังอัลกุรอานกล่าวไว้ความว่า
ผู้ใดปฏิบัติความดีไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิงก็ตาม โดยที่เขาเป็นผู้ศรัทธา ดังนั้นเราจะให้เขาดำรงชีวิตที่ดี และแน่นอนเราจะตอบแทนพวกเขาซึ่งรางวัลของพวกเขาที่ดียิ่งกว่าที่พวกเขาได้เคยกระทำไว้” (อัลกุรอาน 16:97)
มุสลิมจะไม่ใช้ชีวิตอย่างคับแค้นและเศร้าหมอง ถูกรุมเร้าด้วยสารพันปัญหาและจมปลักในความอับจนที่ไม่สามารถหาทางออกได้ ดังที่อัลกุรอานกล่าวไว้ความว่า
และผู้ใดผินหลังจากการรำลึกถึงข้า แท้จริงสำหรับเขาคือ การมีชีวิตอยู่อย่างคับแค้นและเราจะให้เขาฟื้นคืนชีพในวันกิยามะฮฺในสภาพของคนตาบอด” (อัลกุรอาน 20:124)
ดังนั้นมุสลิมไม่ว่าในระดับปัจเจก ครอบครัว สังคม องค์กรและประชาชาติ จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งความดีที่สามารถสัมผัสได้ในโลกแห่งความเป็นจริง เป็นวิถีชีวิตที่เคียงคู่กับความเป็นมุสลิมที่แท้จริงที่แยกออกจากกันไม่ได้ มุสลิมกับความดีเปรียบเสมือนด้านสองด้านของเหรียญอันเดียวกัน ที่หากปราศจากด้านใดด้านหนึ่ง ก็จะกลายเป็นเศษเงินที่หมดคุณค่าและไร้ความหมายโดยปริยาย