‘อสนียาพร นนทิพากร’
ในยุคปัจจุบันนี้ความก้าวหน้าในเรื่องของเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของมนุษย์เราไปแล้วอย่างไม่น่าเชื่อ ความทันสมัยได้ย่อโลกให้เล็กลงสามารถทำการติดต่อสื่อสารกันได้ภายในแค่กระพริบตา เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ข่าวสารที่เกิดขึ้นทุกมุมโลกสามารถส่งผ่านและแชร์ต่อกันในทุกช่องทางสื่อเหล่านี้แค่เพียงไม่กี่วินาทีหลังจากเกิดเหตุ
ทุกวันนี้ ดูเหมือนว่า Social Media กำลังกลายเป็นช่องทางการสื่อสารที่ทรงอิทธิพลมากที่สุด เพราะนับเป็นช่องทางสื่อที่สามารถนำเสนอข้อมูลข่าวสาร และแสดงความคิดเห็นได้อย่างเสรี
ยิ่งเมื่อโลกเข้าสู่ยุคสังคมข่าวสาร เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีบทบาทสำคัญ คนในสังคมจึงมีปฏิสัมพันธ์ที่รวดเร็ว กว้างขวาง และลงลึกในโลกสังคมออนไลน์มากยิ่งขึ้น ดังนั้นฝ่ายที่คิดต่างจากรัฐจึงใช้ช่องทางนี้แสวงหาแนวร่วม ด้วยการถ่ายทอดความรู้สึก แรงจูงใจ การปลุกระดมผ่านช่องทางนี้ โดยมีวัตถุประสงค์ในการ “สร้างความรู้สึกร่วม” โดยที่มีสื่อ Social Media เป็นตัวเร่งสำคัญเพื่อเปิดฉากแนวรบ
“สงครามข่าวสาร” บนโลกสังคมออนไลน์ นำมาใช้เพื่อชิงความได้เปรียบในสงคราม เป็นช่องทางในการเผยแพร่ข้อมูลความดีและความสำเร็จของฝ่ายตนเอง แต่กลับตอกย้ำความเลวร้ายหรือการกระทำที่ไม่ถูกต้องของฝ่ายตรงข้าม “เพราะท้ายที่สุดแล้วเมื่อฝ่ายใดสามารถปฏิบัติการจนสามารถครอบครองพื้นที่ความรู้สึกได้มากกว่า ย่อมชนะบนแนวรบนี้”
ผู้เขียนเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง กับการนำเสนอข่าวสารในเชิงบวก โดยความร่วมมือของสื่อในการนำเสนอสิ่งดีๆ ที่มีอยู่มากมายในดินแดนปลายด้ามขวานแห่งนี้ เพื่อทำการสื่อไปยังกลุ่มเป้าหมายพื้นที่อื่นๆ ของประเทศ รวมทั้งต่างประเทศได้เกิดการรับรู้ว่าพื้นที่ จชต. ไม่ได้มีเฉพาะเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดจากการกระทำของ ผกร. เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่พื้นที่แห่งนี้มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมการอยู่ร่วมกันอย่างพหุสังคมของผู้คนที่อาศัยอยู่ร่วมกันถึงแม้จะมีความต่างด้านเชื้อชาติและศาสนาก็ตามที มีศิลปวัฒนธรรมประจำถิ่น สถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติอีกมากมาย การดำเนินชีวิตความเป็นอยู่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร
ที่ผ่านมาสื่อมวลชนไม่ว่าจะเป็นสื่อหลัก หรือสื่อทางเลือก ไม่ค่อยจะมีการนำเสนอเรื่องราวในเชิงบวกที่มีอยู่ในพื้นที่กันสักเท่าไหร่ ดั่งคำที่มีการกล่าวถึงสื่อในลักษณะที่ว่า“ข่าวร้ายลงฟรี ข่าวดีจ่ายตังค์”ในส่วนของการออกมาแฉเปิดเผยความชั่วร้ายของกลุ่มขบวนการที่มีการก่อเหตุกระทำต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ก็เช่นเดียวกัน อย่าไปคาดหวังให้ยาก จากสื่อมวลชนที่ผ่านๆ มา
ต้องยอมรับความจริงกันว่า ยุคสมัยนี้เป็นยุคของการต่อสู้ทางความคิด หลายฝ่ายได้หันมาใช้เครื่องมือในการสร้างการรับรู้หลากหลายรูปแบบขึ้นจากยุคสมัยก่อนๆ มีการแย่งชิงไหวชิงพริบชิงความได้เปรียบเพื่อดึงมวลชนให้หันมาสนับสนุนเป็นแนวร่วมของฝ่ายตนเอง
กลุ่มผู้มีความคิดเห็นต่างจากรัฐในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ก็เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะการเดินเกมงานการเมืองได้เปิดหน้าชกกับภาครัฐอย่างเปิดเผย ด้วยการจัดเวทีเสวนาปลุกระดมประชาชนให้ลุกขึ้นมาเรียกร้องในการกำหนดชะตากรรมของตนเอง (The Principle of Rights to Self-Determination) โดยแสวงหาแนวร่วมจากเครือข่ายภาคประชาสังคม NGOs ที่เคลื่อนไหวในเรื่องสิทธิมนุษยชน ทำการขยายผลให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่กระทำเกินกว่าเหตุ มีการบิดเบือนความจริงว่าเหตุที่ยังคงเกิดขึ้นรายวันนั้น มาจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ
ในส่วนเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่สนับสนุนปีกการเมืองของกลุ่มขบวนการ ได้ทำการเคลื่อนไหวคู่ขนานกับการจัดเวทีเสวนาในการปลุกระดมในพื้นที่ ด้วยกันปลุกระดม กล่าวหาโจมตีนโยบายในการแก้ปัญหาไฟใต้ของรัฐบาลไทย มุ่งบิดเบือนข้อเท็จจริงโยนผิดให้กับเจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้ทำการก่อเหตุ คอยหาโอกาสนำข้อบกพร่องในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่มาตีแผ่ ทำการขยายผลสร้างการรับรู้ต่อมวลสมาชิกแนวร่วม เครือข่ายสังคมออนไลน์เหล่านี้ทำการเคลื่อนไหวเป็นสมาชิกภาคีภายใต้“เพจโจรใต้ฟาตอนี”
“เพจโจรใต้ฟาตอนี”ที่มีการเผยแพร่ข้อมูลในลักษณะยั่วยุ สร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นระหว่างพี่น้องไทยพุทธ – มุสลิม เกิดความหวาดระแวงต่อกัน เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงแห่งรัฐ ขอให้ท่านผู้อ่านและประชาชนตั้งข้อสังเกตดูกันให้ดีครับ และได้ใช้วิจารณญาณในการเสพข้อมูลข่าวสาร ฟังความรอบด้านก่อนที่จะเชื่อข้อมูลที่ได้มีการเผยแพร่กันจากปากต่อปาก ในสื่อสังคมออนไลน์ และการส่งต่อข้อมูลกันในโปรแกรม Line
การทำ “สงครามข่าวสาร” เป็นการหว่านพืชหวังผลของกลุ่มขบวนการ โดยการปลุกกระแสมวลชนให้ลุกขึ้นต่อสู้ เพื่อยึดครองอำนาจและผลประโยชน์ ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นในพื้นที่ จชต. แต่มีมานานแล้วในพื้นที่แห่งนี้!!!...แต่หน่วยงานรัฐเพิ่งมาตื่นตัวหลังจากกลุ่มขบวนการได้หยั่งรากฝังลึกในหมู่บ้าน
ยุคนี้เป็นยุคของการแย่งชิงสงครามข่าวสาร ทั้งฝ่ายรัฐ และกลุ่มขบวนการ ต่างฝ่ายต่างปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่ได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นการปิดหูปิดตาประชาชนในยุคปัจจุบันไม่สามารถกระทำได้ รวมไปถึงการปกปิดข้อมูลซ่อนเร้นไม่สามารถกระทำได้อีกต่อไป เพราะความรวดเร็วทันสมัยของเทคโนโลยีสมัยใหม่ไม่สามารถปิดกั้นข้อมูลข่าวสารเหล่านี้ได้ แต่ขอบอกว่า...สงครามข่าวสารไม่ใช่วิธีการแย่งชิงมวลชนที่แท้จริง แต่การต่อสู้ด้วยความดี ความจริง (ใจ) ความถูกต้อง การเคารพกฎหมายไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชนต่างหาก ที่จะครองใจประชาชนอย่างยั่งยืน!!! ลองเปรียบเทียบกันดูครับว่าระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐ กับกลุ่มขบวนการฝ่ายไหนที่มีความจริงใจและอยู่เคียงข้างพี่น้องประชาชนและเป็นที่พึ่งได้ไม่ว่าในยามทุกข์ยามสุข.....คนเหล่านั้นพร้อมยื่นมือเข้าช่วยเหลือเสมอ....