Skip to main content

เทียงคืนครึ่งของวันที่ ๓ เมษายน หรือเข้าวันที่ ๔ เมษายน ไปแล้ว การเดินทางของเราทั้ง ๕ คน นำโดย ผศ.ดร.สุกรี หลังปูเต๊ะ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยฟาฏอนี ดร.จุฬากรณ์ มาเสถียรวงศ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยรามจิตติ คุณสรรชัย หนองตรุด รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยรามจิตติ คุณจีรศักดิ์ อุดหนุน ผู้ประสานงานสถาบันวิจัยรามจิตติ และผม เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งกับภารกิจเพื่อเดินทางไปทำหน้าที่วิทยากรในโครงการ “พัฒนาศักยภาพผู้นำรุ่นใหม่ของนักศึกษาไทยในจอร์แดน” จัดโดยสมาคมนักศึกษาไทยในจอร์แดน โดยการสนับสนุนจากสถานทูตไทย ณ กรุงอัมมาน ประเทศจอร์แดน

ทุกครั้งที่มีโอกาสได้เดินทางมันทำให้เราได้รับมุมมองใหม่ๆจากองศาการมองโลกที่กว้างขึ้นประสบการณ์+ข้อมูล คือสิ่งจำเป็นที่จะเป็นเข็มทิศบอกเราว่า เราควรเดินไปทางไหนหากทว่าสังคมทุกวันนี้มีเรื่องราวอีกมากมายที่รอการพัฒนามากกว่าการปล่อยเวลาไปโดยไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรให้แก่สังคมเลย ‪#‎ผมทวนตอบตัวเองในการทบทวน# ขอบคุณทุกๆประสบการณ์ ขอบคุณทุกๆการได้มีโอกาสร่วมทำงาน หากมนุษย์ที่ประเสริฐที่สุดที่มิใช่เป็นเพียงแค่วาทกรรม คือ ‪#‎มนุษย์ที่ยังประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น# ภารกิจครั้งนี้และนับต่อจากนี้ไปเราก็ยังคงตอบโจทย์นี้ของพระเจ้าได้อยู่

ทันทีที่ถึงสนามบิน ณ กรุงอัมมาน ประเทศจอร์แดน มีท่านนายกสมาคมนักศึกษาไทยในจอร์แดนและคณะมารอให้การต้อนรับพวกเราเป็นอย่างดี และแล้วภารกิจ ณ ดินแดนแห่งนี้ก็ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ

... สิ่งหนึ่งที่ผุดขึ้นมาหลังการพูดคุยและสัมผัสตอลดจนการจัดกิจกรรมตลอดโครงการที่ผ่านมา (๖-๙ เมษายน ๒๕๕๘) พบว่า การพัฒนาสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะก่อเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจากการคิดที่คิดจากจิตอิสระ จิตที่พร้อมจะมุมานะเพื่อสังคม การคิดแค่วันสองวันมิอาจเห็นผลได้ ความต่อเนื่องแม้อาจจะต้องใช้เวลาแต่การนำพาคุ้มค่าเสมอ สิ่งที่ค้นพบเจอะเจอกับการเดินทางในครั้งนี้คือพลังทางปัญญาที่มีคุณค่ามาก และจะเป็นพลังสำคัญของการกลับมาพัฒนาประเทศ ณ ตำแหน่งแห่งที่ของกว่า ๖๐๐ ชีวิตในประเทศจอร์แดนที่จากถิ่นฐานบ้านเกิดไปนับแรมปี

หากมองใคร่ครวญทวนทบสังคม ณ ปัจจุบันสิ่งสร้างสรรค์ที่เป็นพลังกลับกลายถูกมองว่าเป็นปัญหาของสังคม ทั้งๆที่วิถีคิดเหล่านี้ไม่เคยมองให้รอบ ๓๖๐ องศาว่า ณ ห้วงเวลาที่ผ่านมาเราเคยเปิดโอกาสให้พลังทางปัญญาสำคัญเหล่านี้ได้มีที่ยืนให้ได้ออกหรือบอกความคิดในการพัฒนาบ้างหรือไม่แค่จะสดับรับฟังอย่าไม่อคติเคยเกิดขึ้นบ้างหรือไหมตลอดการควานหาแนวทางการปฏิรูป จริงอยู่ แม้จะมีโมเดลในการพัฒนาเกิดขึ้นมากมายหลากหลายสำนัก แต่การจะปักหลักเลน ณ แห่งหนตำบลใด ใช่ว่าโมเดลหนึ่งจะนำใช้กับการพัฒนาในพื้นที่หนึ่งได้ แม้คำว่า "โมเดล" หลายต่อหลายครั้งอาจฟังแล้วดูเสมือนเป็นปัญหา หากแต่ทว่า "โมเดลการพัฒนาศักยภาพผู้นำรุ่นใหม่" ที่จัดมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ ๕ ของสถานทูตไทย ณ กรุงอัมมาน ประเทศจอร์แดน ที่จัดให้นักศึกษาไทย กลับเห็นการพัฒนาพลังทางปัญญาที่พร้อมขับเคลื่อนสังคมของเขาวันแล้ววันเล่าเฝ้าคอยการกลับไปให้การสานต่อ ณ บ้านเกิดของพวกเขาได้มีที่ยืนอย่างสง่า ดึงความล้ำค่ามากกว่าประสบการณ์ที่ได้จากต่างแดนให้พรั่งพรูออกมาขยับปรับเคลื่อนสังคม การอบรมบ่มเพาะในการสร้างพลังปัญญาชน ที่นี่คือโมเดลสำคัญที่ทุกฝ่ายควรขานรับมากกว่าผลักดันให้ความคิดของพวกเขากลายเป็นอื่นหรือหมดความชื่นมื่นถูกกลมกลืนไปตามกาลเวลาทางความคิดเฉกเช่นที่ผ่านมา 

ห้วงเวลา ณ เพลานี้ไม่อยากทวงถามว่าใครหรือองค์กรใดจะรองรับพลังทางปัญญาที่พร้อมจะสร้างวิวัฒนาการให้เกิดสังคมานุภาพ (สังคมคุณภาพ) ในสังคมหลังกลับไปยังมาตุภูมิ เพราะสิ่งที่รองรับและทำให้เขาพร้อมปรับตัวกับสังคม พร้อมเผชิญความท้าทาย คือ ตัวตนปัญญาชนคนที่นี่ที่หากไม่ได้มาสัมผัส คุณจะไม่สามารถจัดได้เลยว่าพลังขับเคลื่อนสังคมชุมชนของประเทศ คือ นักศึกษาไทย ณ ประเทศจอร์แดนอีกกลุ่มหนึ่ง แล้วเราจะปล่อยให้ ๖๐๐ กว่าชีวิตที่พร้อมจะลิขิต (เขียน) โลกใบนี้อย่างสร้างสรรค์และน่าค้นหาด้วยกับคำว่า "จิตที่พร้อมจะพัฒนา" หลุดขบวนการพัฒนาไปอีกหรือ... ผมแค่อยากชวนค้นหา หากทว่า "การปฏิรูปขาดคนในที่อยู่ข้างนอก (ประเทศ)" ในขบวนนี้ไม่ได้ในการสร้างสันติสุข

ข้อเสนอที่อยากให้ร่วมกันทบทวนคือการพัฒนาพลังปัญญาชนของประเทศที่อยู่ในประเทศต่างๆ ที่พวกเขาพร้อมจะกลับมาเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาพื้นที่ การมีองค์กรที่คอยเชื่อมร้อยผู้คนเหล่านี้หลังจากกลับมาประเทศไทย ที่เป็นเจ้าภาพหลักควรก่อเกิดขึ้นอย่างจริงใจและจริงจัง มากกว่าแค่ปล่อยให้ตัวแทนสมาคมนักศึกษาไทยในประเทศต่างๆกลับทำกันไปตามศักยภาพและกำลังความสามารถ การสร้างและหนุนเสริมโอกาสในการพัฒนาจากภาครัฐและองค์กรเอกชนตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่พร้อมในการสนับสนุนพลังปัญญาชนนักศึกษาไทยในประเทศต่างๆคือภารกิจสำคัญให้ต้องร่วมกันขบคิดวางแผนอย่างเป็นรูปธรรมทำให้เป็นระบบ จุดบรรจบของความสำเร็จอาจไม่ใช่วันนี้หรือพรุ่งนี้แต่ก็เชื่อว่าเราจะเห็นการพัฒนาของสังคมไทยในสักวันหากได้เพียงเริ่มคิดขยับปรับเคลื่อนและทำมันอย่างตั้งใจ

เพราะความจริงเริ่มเกิดขึ้นแล้วอย่างเด่นชัดประจักษ์ชัดแจ้งกับโมเดลของสมาคมนักศึกษาไทยในจอร์แดน ผ่านการสนับสนุนของสถานทูตไทย ณ กรุงอัมมาน ประเทศจอร์แดน และที่สำคัญมันจะเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามากหากเราเป็นส่วนหนึ่งของการตอบโจทย์คำพูดของ ดร.อัดนัน ผอ.ศูนย์ภาษาฯ ณ กรุงอัมมาน ที่ท่านได้กล่าวไว้ว่า "ขอให้เราทุกคนเปรียบเสมือนหยาดฝนที่ตกลงที่ใดก็มีแต่ความงอกเงยฉันใดก็ฉันนั้นมุสลิมเราโดยเฉพาะปัญญาชนไม่ว่าจะไปอยู่ที่ใดขอให้เป็นผู้ที่ก่อเกิดประโยชน์แก่สังคม"

วันนี้ผมเห็นและสัมผัสมันแล้ว ผมเองก็อยากให้ทุกคนได้สัมผัสพลังทางปัญญากับการ (คิด) พัฒนาสังคมบ้างก็แค่นั้น ในวันที่สังคมกำลังควานหาแนวทางการปฏิรูปที่อาจลืมคนในที่อยู่ข้างนอกไปอีกวง เพราะวงในสุดก็คือบ้านเกิดเมืองนอนของผู้คนเหล่านี้เฉกเช่นเดียวกัน...

 

บันทึกโดย : ฟูอ๊าด ไวยวรรณจิตร
๑๐ เมษายน ๒๕๕๘
ณ กรุงอัมมาน ประเทศจอร์แดน