มูฮำมัด การี
เล่าเรื่อง
ซุกกรียะห์ บาแหะ
ซูไบดา เด็ง
เขียน
อารีด้า สาเม๊าะ
เรียบเรียง
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ภาพประกอบ เอื้อเฟื้อโดย นายมูฮำหมัดซอเร่ เด็ง ช่างภาพชายแดนใต้ กลุ่มบินตังโฟโต้
“สะเก็ดระเบิดโดนท้ายทอย เหลือดออกเยอะมาก ผมรู้ขับรถไม่ไหว จึงตัดสินใจโบกรถ ให้เขาพาส่งโรงพยาบาล”
มันมาเร็วมาก หนีก็ไม่พ้น
ช่วงหัวค่ำวันนั้น ผมและครอบครัวกำลังซื้อข้าวหมกที่ร้านชื่อดังเยี่ยงๆกับปั้มน้ำมันเอสโซ่ ในระหว่างกำลังเลือกซื้ออยู่นั้น อยู่ก็มีคนวิ่งหน้าตาตื่นมาบอกว่า
“ที่ปั้มน้ำมันเอสโซ่ มีระเบิด”
ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดอย่างเดียวคือ ที่นี้ไม่ปลอดภัยแล้ว
ผมสตาร์ทรถแล้วและกำลังจะเลี้ยวหันหัวรถไปอีกทางเพื่อเลี่ยงจุดเกิดเหตุ แต่ไม่กี่เสี้ยวนาที ระเบิดก็ปะทุขึ้น หนีไม่พ้นจริงๆ
โชคดีที่ภรรยากับลูกชายก้มหัวลง ทำให้ไม่โดนสะเก็ดระเบิด แต่ผมที่ขี่มอเตอร์ไซด์หลบไม่พ้น สะเก็ดจึงโดนที่ท้ายทอย แต่ผมไม่รู้ตัวว่าตัวเองโดนสะเก็ดระเบิด สักพักก็รู้สึกชาที่บริเวณ
“ผมขี่มอเตอร์ไซด์ไม่ไหว รู้สึกชาไปหมดจึงตัดสินใจหยุดรถแล้วขอความช่วยเหลือจากคนอื่น”
แต่จุดที่ผมยืนอยู่ไม่มีแสงสว่างแล้วเพราะไฟดับ ทำให้รถที่ขับผ่านไปมาไม่ทันสังเกตว่าผมโบกมือขอความช่วยเหลือ ผ่านไปแล้ว 2-3 คัน พอดีรถกู้ภัยขับผ่านมา แต่ก็ผ่านไป เขาคงมองไม่เห็นผม แต่โชคยังดี ที่มีรถของคนสายบุรีเห็นพวกเราที่อยู่ในที่มืด
ณ โรงพยาบาลปัตตานี
วันนั้นคนเจ็บเยอะ ผมจึงต้องรอคิวนานมากทั้งตัวและเสื้อเต็มด้วยเลือด วันนั้นใส่เสื้อยืดสีเขียว แต่เลือดที่ไหลไม่หยุดทำให้เสื้อกลายเป็นสีเขียวแก่ พอหมอเรียกเข้าห้องผ่าตัดก็ฉีดยาชา ยาสลบ พอฤทธิ์ยาหมด ผมถึงรู้สึกว่าเจ็บปวดและแสบแผลมาก เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก็เข็นรถไปที่ห้องพักฟื้น โดยหมอสั่งให้พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นเวลา 13 วัน
ชีวิตที่ยังคงอยู่และเปลี่ยนไป
“ตอนเย็นไม่กล้าออกไปไหน”
หลังเหตุการณ์เกิดกับตัวเองและครอบรัวในวันนั้น ผมก็คิดว่า ต้องระมัดระวังตัวเองมากขึ้น ไปทำงานเฉพาะตอนกลางวัน ตกเย็นก็จะกลับบ้านทันที เพราะความปลอดภัยลดลง และรู้สึกว่าช่วงเย็นจะเกิดเหตุง่ายและบ่อยมาก ทำให้ผมรู้สึกไม่ปลอดภัย และต้องดูแลตนเอง พยายามหลีกเลี่ยงการอยู่นอกบ้าน ติดตามข่าวสารว่ามีเหตุการณ์ที่ไหนบ้าง จะเลี่ยงไม่ที่เกิดเหตุและไม่ออกนอกบ้านในช่วงค่ำ
“ผมมองว่า เราต้องดูแลตัวเอง เจ้าหน้าที่ไม่สามารถดูแลความปลอดภัยเราได้ทันการณ์หรอก”
ผมไม่ค่อยคาดหวังให้เจ้าหน้าที่มาดูแลความปลอดภัย กลับรู้สึกว่าหากเจ้าหน้าที่มาอยู่กล้ๆ ก็จะรู้สึก ว่าเหตุการณ์อาจจะเกิดและเราจะโดนลูกหลงไปด้วย อาจได้รับความบาดเจ็บ และเสียชีวิตได้
ขอดุอาร์ให้สลามัต เพราะทุกอย่างเป็นที่อัลลอฮฺกำหนด ห้ามไม่ให้สิ่งที่ถูกกำหนดไม่ไม่ให้เกิดได้ ถ้าจะเกิดมันก็ต้องเกิดกับใครก็ตาม แม้แต่ทหารยังคุ้มกันตัวเองไม่ได้
ตอนนี้ต้องให้ภรรยาไปทำงานกับรถโรงเรียน เพราะผมยังไม่สามารถขับรถได้ ก็รู้สึกว่าชีวิตลำบากขึ้นกว่าเก่ามาก แต่ผมก็เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทุกอย่างอัลลอฮฺเป็นผู้กำหนด อยู่ที่เราต้องระมัดระวังด้วยตนเอง และรู้ว่าต้องดูตัวเองอย่างไร
“ไม่อยากให้มีเหตุการณ์ที่ทำให้เด็กได้รับผลกระทบ”
การต่อสู้ของอิสลามที่แท้จริง จะไม่กระทบผู้บริสุทธิ์ เด็ก อาคารสถานที่ก็ต้องไม่ถูกทำลาย ซึ่งหลักการที่ถูกต้องมีสิ่งที่ต้องระวังไม่ให้กระทบในสงครามด้วย แต่ทุกวันนี้คนบริสุทธิ์ก็ไม่ปลอดภัย ตามหลักการอิสลามต้องไม่เป็นแบบนี้
ผมมองถึงหลักการการสู้รบเพื่อศาสนาหรือที่เรียกว่า ญีฮาด คือการทำเพื่ออัลลอฮฺหรือเพื่อศาสนาของอิสลาม ต้องมีนักอุลามาอฺประกาศให้มีการญิฮาดด้วย
ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ความต้องการของฝ่ายตรงข้ามรัฐค่อนข้างเป็นไปได้ยาก รัฐอาจจะให้ไม่ได้ แต่จะไปให้เขาเปลี่ยนในสิ่งที่เขาต้องการหรืออุดมการณ์ของเขาต่อแผ่นดินนี้ก็ยากเช่นกัน ผมมองว่า บ้านเราคงสงบยาก หากยังเป็นอยู่แบบนี้ คนบริสุทธิ์ก็ไม่ปลอดภัยอยู่เช่นนี้
การเยียวยาที่ดี
ตอนที่ผมพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลในช่วงนั้นก็มีหน่วยงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หน่วยงานประกันสังคม เยียวยาจังหวัด มามอบเงินเยียวยาให้ผมจำนวน 40,000 บาท หน่วยงานยุติธรรมจังหวัด และพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มอบ 200,000 บาท ผอ.เขตการศึกษาและครูโรงเรียนอื่น ๆ ก็มาเยี่ยม และลูกๆก็รับทุนการศึกษา เดือนละ 1000 บาท และได้สิทธิด้านทุนการศึกษาจนถึงปริญญาตรี
แต่หลังจากกลับมารักษาตัวที่บ้านได้ประมาณ 1 สัปดาห์ ปรากฏว่ามือข้างซ้ายมีปัญหา จะรู้สึกเจ็บเมื่อยกแขนขึ้น เพราะเส้นเอ็นที่คอรู้สึกตึงผลจากที่ถูกสเก็ดระเบิด ตอนนี้ก็พยายามนวดคลายเส้นและกินยาบรรเทาอาการปวด อาการชายังคงมีอยู่ เมื่อยกของหนักหรือแม้แต่อุ้มลูกก็จะรู้สึกเจ็บ ต้องทาน้ำมันคลายกล้ามเนื้อบ่อยๆ แต่ก่อนเป็นคนที่ออกกำลังกายบ่อย แต่เดี๋ยวนี้ออกกำลังกายไม่ได้เพราะจะรู้สึกปวดกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะบริเวณคอและหลัง
...ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะพระเจ้ากำหนด แต่เหตุการณ์ความไม่สงบนั้นสามารถป้องกันได้ แต่เราจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดระเบิดได้อย่างไรละ เป็นเรื่องที่ต้องช่วยกันคิดและกระทำจากทุกฝ่ายเพื่อให้มูฮำหมัดได้มีชีวิตอย่างที่เขาหวังต่อไป....
ข้อมูลเพิ่มเติม มูฮำมัด การี ครอบครัวของนายมูฮำมัด การี อาศัยอยู่ที่ตำบลตะโละกาโปร์ อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษาจากสถาบันวิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ปัจจุบัน ได้แต่งงานมีครอบครัวและมีลูกแล้ว 2 คน คนโตเป็นลูกชายและคนเล็กเป็นลูกสาว ซึ่งภรรยาก็เป็นครูเช่นกัน และผมเป็นครูสอนวิชาศาสนาอิสลาม ในโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งในจังหวัดปัตตานี |
หมายเหตุ : เรื่องเล่า เป็นส่วนหนึ่งของ“โครงการการสร้างการตระหนักรู้ถึงผลกระทบจากระเบิดในความขัดแย้ง จังหวัดชายแดนใต้ ประเทศไทย เป็นโครงการเพื่อรวบรวมเสียงของเหยื่อระเบิดที่เกิดขึ้นหลายจุด เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2557 ที่อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี” ซึ่งข้อมูลมาจากเจ้าของเรื่อง เรียบเรียงและร้อยเรียงโดย กลุ่มด้วยใจ