2 ปีก่อน น่าจะมกราคม 2556 เจ้าหน้าที่ชุดหนึ่งของ กอรมน.ภาค4และดีเอสไอ ได้บุกทลายแคมป์ที่พักชาวโรฮิงญาแห่งหนึ่งใน ต.ปาดังบาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา
แคมป์ในสวนยางพารา มีอาคารไม้ โรงนอนสำหรับนอนรวมกันได้กว่า 200 คน มีโรงครัว กระทะ หม้อหุงข้าวขนาดใหญ่ เหมือนโรงครัวในวัดที่เลี้ยงคนจำนวนมาก
การทลายแคมป์โรฮิงญาในครั้งนั้น มีการจับกุมชาวโรฮิงญาในข้อหาหลบหนีเข้าเมือง ชาวโรฮิงญากว่า 200 คน ถูกนำตัวเข้าคุก ในห้องกัก ตม.หลายแห่งในจังหวัดสงขลา
ฉันไปทำข่าวนี้ พบชาวโรฮิงญา ที่ต้องมาติกคุก หลังติดอยู่ในแคมป์นานกว่า 4 เดือน ส่วนผู้หญิงและเด็กถูกส่งบ้านพักเด็กสงขลา
หากจำกันได้ ข่าวนี้ทำให้พี่น้องมุสลิมในพื้นที่มาช่วยเหลือเรื่องอาหาร และทำให้คนไทยเริ่มเข้าใจในชะตากรรมชาวโรฮิงญา มนุษย์ที่ไร้รัฐ ไม่มีตัวตน ไม่มีแผ่นดินอาศัย ไม่มีการรับรองใดๆให้กับพวกเขา จนต้องหนีตายจากรัฐอะรากันของพม่า ข้ามน้ำข้ามทะเล มายังประเทศไทย เป้าหมายมีทั้งมาเลเซีย ประเทศที่ 3
ประเทศไทย เป็นเป้าหมายสำหรับบางคน แต่ประเทศไทยกลายเป็นทางผ่าน ที่ขบวนการนายหน้าทั้งขบวนการนำพา และค้ามนุษย์ ใช้เป็นเส้นทางในนำพาชาวโรฮิงญา หลอกลวงว่า เมื่อลงเรือมาแล้ว จะถึงเป้าหมายประเทศมาเลเซีย จ่ายเงิน 40,000-50,000 บาท
แต่เมื่อมาถึงไทยจะถูกกักไว้ในแคมป์เพื่อรอเดินทางข้ามมาเลเซีย ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นเพียงคำกล่าวอ้างเพื่อใช้เรียกค่าไถ่จากชาวโรฮิงญา หรือเพิ่มค่าตัวนั่นเอง !!!
การกระทำลักษณะนี้ เข้าข่ายการค้ามนุษย์อย่างปฏิเสธไม่ได้ เพราะ ชาวโรฮิงญา ที่เป็นเหยื่อ มีทั้งเด็ก ผู้หญิง ผู้ชาย ที่ถูกหลออกลวง และการกักขัง และเรียกค่าไถ่ชาวโรฮิงญา มันคือการค้ามนุษย์!!!
ฉันติดตามคดีนี้เมื่อ 2 ปีก่อนจนพบว่า ในทางคดีไม่มีการจับกุมใครในฐานการค้ามนุษย์ได้ มีเพียงเจ้าของพื้นที่ที่เป็นคนให้ที่พักพิงชาวต่างด้าว ซึ่งเป็นคนไทย ถูกออกหมายจับ ไม่ติดคุก
แต่คนที่ติดคุกกลับเป็นชาวโรฮิงญา ที่ถูกจับกุมในข้อหาหลบหนีเข้าเมืองผิดกฏหมาย และติดนานกว่า 1 ปี จนเกิดกรณีชาวโรฮิงญา หลบหนี แหกคุก ทั้งในจ.สงขลา และพังงา มีข่าวชาวโรฮิงญาถูกข่มขืน
มาตรการทางกฏหมายของไทย เมื่อชาวโรฮิงญาไม่ใช่เหยื่อการค้ามนุษย์ที่ต้องดูแลคุ้มครอง แต่เป็นผู้หลบหนีเข้าเมืองผิดกฏหมาย สิ่งที่ทำได้คือการผลักดัน ชาวโรฮิงญา กลับประเทศ!!!!
ชาวโรฮิงญา ไม่ได้รับรองให้เป็นชาวพม่า แต่มาจากพม่า นี่จึงกลายเป็นแนวทางที่ไทยใช้แก้ไขปัญหาชาวโรฮิงญา ด้วยการระบุว่า พวกเขาเป็นชาวพม่า
การผลักดันชาวโรฮิงญากลับประเทศ พม่า จึงเหมือนการข่มขืนซ้ำ!!!! เพราะพวกเขาจะถูกนำพาเข้าประเทศไทย และเข้าสู่วงจรการค้ามนุษย์อีกครั้ง
ฉันพยายามตามหาข้อเท็จจริงนี้ ตามข้อมูลที่ชาวโรฮิงญา บอกว่า การที่เจ้าหน้าที่ไทยใช้วิธีผลักดันชาวโรฮิงญากลับพม่านั้น พวกเขาไม่ถึงบ้านแน่นอน
มีนาคม 2557 ฉันมาติดตามข่าวโรฮิงญาอีกครั้ง เมื่อทราบข่าวว่าจะมีการผลักดันชาวโรฮิงญากลับพม่า ฉันไปติดตามเรื่องนี้ที่ระนอง และตั้งใจที่จะหาคำตอบที่ว่า
การผลักดันชาวโรฮิงญากลับพม่า ไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้อง !!!
ในขณะที่เจ้าหน้าที่เตรียมส่งตัวชาวโรฮิงญากลับ ฉันสัมภาษณ์พวกเขาบอกว่า อยากกลับ ไม่อยากอยู่ไทยแล้ว ไม่อยากถูกติดคุก อยากกลับบ้าน จะกล้บบ้าน ภาพพวกเขาดีใจ เป็นภาพหนึ่งที่ทำให้เชื่อได้ว่า พวกเขาอยากกลับบ้านจริง แต่แท้จริงแล้วไม่ พวกเขาแค่ไม่อยากติดคุก และอยากออกทะเล เพื่อหาทางกลับมาใหม่เท่านั้นเอง เพราะพวกเขาหนีตายจากพม่า เขาจะไม่มีทางกลับไปอีก ตราบใดที่พม่ายังไม่ยอมรับชาวโรฮิงญาเป็นคนพม่า !!!
ฉันวางแผน ซื้อโทรศัพท์ 1 เครื่องให้คนที่น่าเชื่อได้ว่า จะเป็น สายลับ ในการติดต่อได้ว่า เมื่อออกทะเลไปแล้วพวกเขาไปไหน!!!
หลังเจ้าหน้าที่นำตัวชาวโรฮิงญา ลงเรือ ที่ระนอง จะไปส่งในน่านน้ำพม่า ที่ฝั่งเกาะสอง !!
ปฏิบัติการค้นหาความจริง จึงเริ่มต้นขึ้น
ฉันและ พล.ต.ต.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้บังคับการ ตม.6 จึงขึ้นบินกับสกายรีพอร์ต เพื่อตรวจสอบว่าเรือที่ไปส่งชาวโรฮิงญา จะไม่กลับมาอีก การบินสำรวจไม่พบเรือต้องสงสัย แต่วันรุ่งขึ้นฉันข้ามฝั่งไปเกาะสอง ของพม่า
การทำงานครั้งนี้ ผู้การ ตม.6 เห็นด้วยที่จะร่วมทำงานในทางลับกับฉัน และเราก็ได้คำตอบนั้นจริงๆ
สายที่ให้โทรศัพท์ ส่งข่าวมา 1 ครั้ง บอกว่าถึงเกาะสองแล้ว มีเรือมารับ พวกเขาบอกว่า เช่าเรือจะกลับพม่า เขาบอกว่ามี 10 คนไท่ได้ขึ้นเรือ และลงในฝั่งเกาะสอง
ขณะนั้นฉันอยู่เกาะสอง เช่ารถไปตามหาชาวโรฮิงญา ในจุดที่เรือจอดส่งพวกเขา ได้ความว่า มีชาวโรฮิงญาถูกจับ 10 คนจริง และได้คำตอบว่า ถ้าชาวโรฮิงญาลงเรือขึ้นฝั่งที่เกาะสอง จะไม่มีทางกลับรัฐอะรากันได้แน่นอนเพราะพวกเขาไม่มีบัตรประชาชนพม่า ถ้าตำรวจ เจอพวกเขาก็จะถูกจับกุม !!!
ฉันมั่นใจว่าพวกเขาลงเรือของขบวนการค้ามนุษย์กลับไทยแน่นอน แต่ปัญหาคือ ฉันติดต่อสายลับที่ให้โทรศัพท์ไม่ได้!!! แต่โชคดีที่ฉันให้เบอร์อีกคนไว้ จากนั้น 1 วัน เขาโทรมาแจ้งว่าอยู่ในแคมป์ จ.ระนอง
ปฏิบัติการติดตามชาวโรฮิงญาชุดนี้ที่ถูกผลักดันกลับจึงเป็นจริง
5 วันต่อมา 8 มีนาคม 2557ชาวโรฮิงญา 10 คนในชุดนั้นถูกส่งไปท่าเรือปัตตานี สายแจ้งข่าวขอความช่วยเหลือ ฉันแจ้ง ผู้การ ตม.6 พล.ต.ต.ธัชชัย ซึ่งต้องขอบคุณที่จริงใจในการทำงานเรื่องนี้ จนได้ช่วยชาวโรฮิงญามาได้ 5 คน อีก 5 คนถูกนำลงเรือไปแล้ว ซึ่ง 5 คนที่ช่วยมาได้ ฉันตรวจสอบจากภาพก่อนลงเรือ และหมายเลขที่ถูกผลักดันกลับ ทุกคนมีหมายเลขตรงกัน หน้าตรงกันกับกลุ่มนั้น เราจึงได้คำตอบร่วมกันว่า ชาวโรฮิงญาที่ถูกผลักดันกลับ ถูกช้อนกลับมาในไทย และถูกขายไปตามช่องทางต่างๆ เช่น การลงเรือประมง หรือการขายให้นายหน้า ตามจังหวัดต่างๆ ซึ่งปลายทางผู้ชาย คือการเป็นแรงงานผิดกฏหมายในไทย
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งจากความจริงที่พบ การทำงานในครั้งนั้น ยังเป็นที่มาของการค้นพบ แคมป์กักขังชาวโรฮิงญาที่สตูล การล่อซื้อนายหน้าเรียกค่าไถ่ ซึ่งเป็น สจ.ในจ.สตูล และการจับกุมชาวมุสลิมอุยกูร์ กลางสวนยางพาราในจ.สงขลา อีกว่า 200 คน
ผ่านมากว่า 1 ปี ชาวอุยกูร์ก็ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกับชาวโรฮิงญา ถูกขังในห้องกัก กลับจีนก็ไมีได้ ไปไหนก็ไม่ได้
เห็นใจประเทศไทยนะที่ต้องมาแก้ปัญหานี้ แต่พวกเขาคือเพื่อนมนุษย์ !!! การหาทางช่วยเหลือพวกเขา ดีกว่าการผลักไส!!!
ขอบคุณที่รัฐบาลจะจริงจังจัดการกับพวกค้ามนุษย์ อยากเห็นการจับกุม ดำเนินคดี และอยากเห็นการแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้สุดทาง !!!!
ฝากพี่น้องสื่อมวลชนที่ติดตามข่าวโรฮิงญา ด้วยนะคะ มีอีกหลายประเด็นที่ต้องช่วยกันต่อ ขอบคุณมากคะ
ฐปณีย์ เอียดศรีไชย
Kathmandu Nepal
7-05-2015