Skip to main content

จุฑารัตน์  แซ่หวัง
เล่าเรื่อง

นางสาวรุสนีย์ กาเซ็ง
เขียน

 

ภาพเอื้อเฟื้อโดย มูลนิธิกู้ชีพ สันติ ปัตตานี 

 

๐๐๐๐๐

" มันเหมือนสงครามกลางเมือง มีเสียงระเบิดดังสนั่นเป็นระยะๆตลอดทางไม่เคยเจอเหตุการณ์ระเบิดเยอะขนาดนี้ "

ฉันซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ลูกชายจะไปหาหมอที่คลีนิกเพื่อตรวจครรภ์ ซึ่งตอนนี้กำลังอุ้มท้องลูกคนล่าสุดของครอบครัว ตรวจเสร็จขากลับแวะซื้อกับข้าวที่ตลาดและจอดเซเว่นฯ เพื่อซื้อของซึ่งเป็นวิถีชีวิตปกติของคนทั่วๆไปไม่คาดคิดว่าจะต้องกลายเป็นเหยื่อระเบิดขณะที่ตั้งท้อง 8 เดือน !
ตูมมมมม !!! ระเบิดดังจากในเซเว่น

พอขี่ผ่านเลยเซเว่นอีเลเว่น ได้นิดเดียวก็เกิดเสียงดังตูม !!! ตกใจมาก ลูกชายขี่มอเตอร์ไซด์อยู่ตัวสั่นแต่ต้องประคองรถไว้ให้ได้เพราะแม่ซ้อนท้ายอยู่ข้างหลัง ตอนแรกไม่คิดว่าจะได้รับผลกระทบอะไรจากแรงระเบิด ไม่รู้ตัวว่าโดนสะเก็ดระเบิด พอเริ่มรู้สึกเจ็บที่หลัง ปากและกกหู รู้สึกกลัวมากๆบอกให้ลูกจอดรถ รู้สึกแน่นท้องแล้วก็เป็นลมล้มพับไปตรงนั้นเลย

ตอนนั้นมืดแล้ว ไฟฟ้าดับ ดีที่มีชาวบ้านเข้ามาช่วยประคอง ช่วยเช็ดเลือด และช่วยโทรหารถกู้ชีพให้มารับไปส่งโรงพยาบาล โชคดีมากที่ไปกับลูกชาย และลูกก็มีสติดีในการดูแลแม่ 

สามีเป็นนายช่างเปิดอู่ซ่อมรถอยู่แถวหมู่บ้านปากาปันยัง(ชานเมืองปัตตานี) ระหว่างชุลมุนอยู่นั้น ลูกชายโทรบอกให้พ่อไปรอที่โรงพยาบาลไม่ต้องมาที่เกิดเหตุ สักพักมีรถมารับ ลูกชายนั่งรถมาด้วยกันด้วยระหว่างทางลูกชายนั่งข้างๆท่องบทสวดมนต์ตลอดทางหวังให้ทุกคนอยู่รอดปลอดภัย โชคดีที่อย่างน้อยก็ไม่เกิดเหตุร้ายซ้ำซ้อนขึ้น
ถึงมือหมอที่โรงพยาบาลอย่างปลอดภัย

ลูกชายถูกแยกไปทำแผลเล็กน้อยและไม่ได้ตรวจร่างกายอย่างละเอียดจนกลับถึงบ้านจึงรู้ว่ามีเศษกระจกอยู่ในจมูกด้วย 2 ชิ้น แต่ไม่ได้เป็นอะไรมาก ใช้เวลารักษาอยู่ 2 สัปดาห์แผลจึงหายเป็นปกติ และโชคดีที่ฉันเองก็ไม่ได้เป็นอะไรมากและสำคัญคือลูกในท้องก็ปลอดภัย แต่ต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลประมาณ 2 สัปดาห์
หวาดกลัว ระแวง แต่ต้องใช้ชีวิตต่อไป

หลังผ่านเหตุร้ายในวันนั้น สำหรับคนที่ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงทุกอย่างเหมือนจะกลับสู่ภาวะเดิมและอาจทำใจลืมเหตุการณ์ในวันนั้นได้ไม่ยาก แต่สำหรับคนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงอย่างคุณจุฑารัตน์และลูกชายไม่อาจลืมทุกอย่างได้ง่ายนัก

เครียดและฝันร้ายทุกคืน นอนๆแล้วก็จะสะดุ้งตื่นกลางดึกอยู่เกือบเดือน แต่พอเห็นว่าเหตุการณ์เงียบก็ออกไปซื้อของบ้างเพราะจำเป็น อย่างร้านเซเว่นถ้าจำเป็นก็ต้องเข้า แต่ต้องระวังหน้าระวังหลัง เวลาจอดรถก็จะสังเกตสิ่งแปลกๆ ไม่รู้ว่ารถที่เราไปจอดจะมีอะไรหรือเปล่า  ก็รีบๆซื้อแล้วกลับ จะจอดรถบางครั้งก็เลือกจอดห่างๆ ใช้เดินเอาปลอดภัยกว่า
ชีวิตก็ไม่เหมือนเดิมตอนนี้ 1-2 ทุ่มก็อยู่ในบ้าน แถวตลาดเปิดท้ายก็ไม่กล้าไป ห้างต่างๆก็ไม่ค่อยกล้าไป เมื่อก่อนเวลากลางคืนก็ยังออกไปนอกบ้านบ้างแต่ตอนนี้ไม่ค่อยกล้าออกไปไหน

การเยียวยาด้านจิตใจตอนนี้ก็มีนักจิตวิทยาโทรมาถามและได้ไปพูดคุยกันบ้างได้ยาแก้เครียดมากินก็รู้สึกดีขึ้น ส่วนลูกชายไม่ได้ไปหานักจิตวิทยาและไม่ได้กินยาคลายเครียดไม่มีฝันร้ายแต่ช่วงแรกๆจะระแวงเหมือนเป็นโรคจิต  กลัว ระแวงไปหมด  จะเข้าเซเว่นฯ  จะออกไปข้างนอกซื้อข้าวก็กลัว  แต่ตอนนี้อาการระแวงน้อยลงและเวลากลางคืนยังไปข้างนอกบ้างแต่จะกลับบ้านก่อน 2 ทุ่ม

รู้สึกว่าที่นี่เป็นบ้านเกิด

ฉันมีน้าคนหนึ่งชวนไปอยู่ที่หาดใหญ่เพราะตัวเองเคยฝันไว้ว่าอยากเปิดกาแฟที่หาดใหญ่ แต่เมื่อเหตุการณ์ร้ายจืดจางลง ความหวาดระแวงทุเลาเบาบาง ความคิดที่จะไปจากบ้านเกิดก็ค่อยๆเลือนรางไปเช่นกัน จากจิตสำนึกที่รู้สึกว่าปัตตานีคือบ้านเกิด จึงเป็นเรื่องยากที่จะทำใจย้ายไปตั้งรกรากที่อื่น

“เพราะรู้สึกว่าที่นี่เป็นบ้านเกิด ช่างเถอะเหตุการณ์มันก็เกิดขึ้นทุกวัน”

ส่วนลูกชายกำลังเรียนระดับอาชีวศึกษา ชั้นปีที่ 2 มีความฝันว่าอยากเปิดร้านคอมพิวเตอร์ และเขาคาดหวังให้ลงโทษคนที่ก่อเหตุระเบิดในวันนั้นด้วยโทษที่แรงที่สุดคือ ประหารชีวิต อาจจะดูรุนแรง แต่หากเทียบกับความรู้สึกของคนที่เกือบตายด้วยฝีมือของใครที่ไหนไม่รู้ ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันอาจจะสาสมแล้วก็เป็นได้กับสิ่งที่ผู้กระทำควรจะได้รับการตอบแทน แต่ถึงกระนั้น ขณะนี้ก็ยังไม่สามารถหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษได้