Skip to main content

‘สันติสุขที่ปลายด้ามขวาน’

สถานการณ์ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ยืดเยื้อมาจนกระทั่งปัจจุบัน ได้สร้างความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน สูญเสียโอกาสในการพัฒนาทุกรูปแบบ ส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อวิถีชีวิต เศรษฐกิจและสังคมอย่างกว้างขวาง ซึ่งความสูญเสียดังกล่าวล้วนเกิดจากการใช้ความรุนแรงแบบสุดโต่ง เผด็จการและก่อการร้ายควบคู่กับการเคลื่อนไหวบิดเบือนข้อเท็จจริง แสดงออกในเชิงสัญลักษณ์และชี้นำทางความคิดในประเด็นการละเมิด  สิทธิมนุษยชนและความไม่เป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรม ที่เป็นผลมาจากการบังคับใช้กฎหมายพิเศษในพื้นที่ เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือในระบบอำนาจรัฐ และพยายามยกระดับความขัดแย้งไปสู่เวทีสากล

กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เป็นหน่วยงานหลักในการแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่ ได้บูรณาการทุกกลไกแก้ปัญหาให้เกิดความเป็นเอกภาพ ภายใต้ยุทธศาสตร์พระราชทาน เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา และ หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ตามแนวทางการเมืองนำการทหาร โดยใช้หลักคิดพื้นฐานที่สำคัญ คือ สันติวิธีเป็นหนทางสู่สันติสุข ภายใต้หลักกฎหมายที่เป็นธรรม ให้การเคารพในหลักสิทธิมนุษยชน และสิทธิขั้นพื้นฐานในการแสดงออกทางความคิดที่ไม่ละเมิดต่อกฎหมายและความมั่นคงแห่งรัฐ ทั้งนี้เพราะปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นปัญหาภายในประเทศที่รัฐจำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมายเพื่อปกป้อง คุ้มครอง และดูแลความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินให้พี่น้องประชาชน ด้วยความเสมอภาค สำหรับในกรณีที่ต้องใช้กำลังทหารก็ได้กำหนดมาตรการจากเบาไปหาหนัก เท่าที่จำเป็นเข้าติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุรุนแรงภายใต้การมีส่วนร่วมของผู้นำศาสนา ผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น และเครือญาติในทุกขั้นตอนของการปฏิบัติ ตั้งแต่การช่วยเจรจาเกลี้ยกล่อมในขั้นการจับกุมและร่วมสังเกตการณ์ในขั้นตอนการควบคุมตัวและซักถาม เพื่อความโปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้ ทำให้หลายๆ เหตุการณ์ไม่เกิดการสูญเสีย ทุกฝ่ายมีความเข้าใจและรับรู้ถึงเจตนาต้องการหลีกเลี่ยงความรุนแรง อีกทั้งสามารถอธิบายให้สังคมได้รับทราบความจริงที่ถูกต้องและเข้าใจในเหตุผลและความจำเป็นในการบังคับใช้กฎหมายตามพยานหลักฐาน เพื่อจับกุมผู้กระทำความผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม โดยไม่มีเจตนาคุกคาม ริดรอน และละเมิดสิทธิมนุษยชน ตามที่บางองค์กรพยายามกล่าวอ้างแต่อย่างใด

ดังเช่นกรณีเหตุการณ์ลอบวางระเบิดพร้อมกัน 3 จุด ในเขตเมืองนราธิวาส เมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 2558 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่สามารถติดตามจับกุมบุคคลต้องสงสัยได้หลายคน และต่อมาภายหลังจึงทราบว่าเป็นนักศึกษาและอดีตนักศึกษาสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส ผลจากการสอบสวนหลายคนได้ให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุลอบวางระเบิดในครั้งนั้นจริง ซึ่งมีนักศึกษารายหนึ่งได้ให้การรับสารภาพต่อหน้าบิดาและภรรยาว่าเหตุระเบิดครั้งดังกล่าว ตนเองเป็นผู้วางแผนและควบคุมการปฏิบัติในทุกขั้นตอน  ส่วนกรณีที่เจ้าหน้าที่เข้าติดตามจับกุมบุคคลต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ลอบวางระเบิดพร้อมกันหลายจุดในเขตเทศบาลนครยะลาในห้วง 14 – 16 พฤษภาคม 2558 รวมทั้งเหตุการณ์ปล้นรถยนต์ในพื้นที่ อำเภอยะหา จังหวัดยะลา เมื่อ 31 พฤษภาคม 2558 ที่ผ่านมาสามารถควบคุมผู้ต้องสงสัยได้หลายคน  ผลการซักถามในขั้นต้นมีผู้ให้การรับสารภาพว่าร่วมก่อเหตุลอบวางระเบิดจริงจำนวน 7 คน เป็นนักศึกษาและอดีตนักศึกษาจากสถาบันการศึกษาในพื้นที่เช่นเดียวกัน ซึ่งจะเห็นได้ว่าเจ้าหน้าที่ทุกคนปฏิบัติหน้าที่ภายใต้หลักนิติรัฐ โดยไม่อาจละเว้นหรือเลือกปฏิบัติได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเข้าใจ ให้การยอมรับและเคารพในหลักกฎหมายของประเทศไทย เพราะเป็นกติกาในสังคมที่ไม่มีใครสามารถละเมิดหรือฝ่าฝืนได้

นอกจากนี้ยังมีกรณีเหตุการณ์เจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 49 ควบคุมตัวบุคคลต้องสงสัย 2 คน พร้อมอาวุธปืน 2 กระบอก เมื่อ 10 เมษายน 2558 ในพื้นที่ อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส จากการตรวจสอบพบว่าเป็นอาวุธปืนที่ถูกแย่งชิงมาจากเหตุการณ์เข้าโจมตีฐานปฏิบัติการ ร้อย.ร.15121 เมื่อ 19 มกราคม 2554 ที่ผ่านมา และเคยนำไปใช้ก่อเหตุความรุนแรงก่อนหน้านี้มาแล้ว 6 คดี ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายราย และต่อมาภายหลัง  ผู้ต้องสงสัย 1 ใน 2 รายได้ให้การรับสารภาพต่อหน้าบิดาและมารดา ว่าเป็นสมาชิกผู้ก่อเหตุรุนแรง ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่แม้แต่บุคคลในครอบครัวก็ไม่เคยทราบมาก่อน ทำให้มารดารู้สึกเสียใจอย่างยิ่งที่รู้ว่าบุตรชายได้เข้าไปมีส่วนร่วมสร้างสถานการณ์ซึ่งได้ทำร้ายเจ้าหน้าที่ รวมทั้งพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ ทั้งนี้สถานการณ์ความรุนแรงนอกจาก จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อเจ้าหน้าที่รัฐและพี่น้องประชาชนแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อสมาชิกแนวร่วมผู้กระทำผิดที่ต้องหลบหนีจากการติดตามจับกุมของเจ้าหน้าที่ หลายรายหนีออกไปอยู่นอกพื้นที่หรือประเทศเพื่อนบ้าน อย่างไรก็ตาม กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ยังคงเปิดโอกาสให้กลุ่มบุคคลเหล่านี้ ให้มีโอกาสกลับมาใช้ชีวิตกับครอบครัวตามโครงการพาคนกลับบ้าน โดยเจ้าหน้าที่พร้อมที่จะอำนวยความสะดวก ในการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อปลดเปลื้องพันธนาการทางจิตใจและพันธะทางกฎหมาย ต่อไป ซึ่งที่ผ่านมามีบุคคลดังกล่าวกลับเข้ามารายงานตัวมากกว่า 1,400 ราย ส่งผลให้สถานการณ์ต่างๆ ในพื้นที่เริ่มดีขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะในห้วงเดือนรอมฎอนปีนี้ ถือได้ว่ามีความสงบสุขมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา อันเป็นความปรารถนาร่วมกันของประชาชนทุกหมู่เหล่า ผู้นำศาสนา และส่วนราชการทุกส่วนรวมทั้งรัฐบาล

กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ยังคงดำรงความต่อเนื่องในการแก้ไขปัญหาตามแนวทางสันติวิธีให้บังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมด้วยการสร้างจิตสำนึกร่วมในการแก้ไขปัญหา และการทำงานร่วมกันอย่างประสานสอดคล้องของทุกกลไกอำนาจรัฐและภาคประชาชน รวมทั้งยังคงให้ความสำคัญกับเยาวชน นักเรียน นักศึกษา และปัญญาชน โดยการเสริมสร้างและสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมในทุกรูปแบบเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน สร้างโอกาสและสร้างอนาคตให้เป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณค่าและเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการเข้ามามีส่วนร่วมเติมเต็มในกระบวนการแก้ปัญหาและแสวงหาทางออกจากความขัดแย้ง อย่างสร้างสรรค์เพื่อนำสันติสุขกลับคืนมา นั่นคือชัยชนะของสันติวิธีอย่างแท้จริง  

File attachment
Attachment Size
cover_santisuk.jpg (100.05 KB) 100.05 KB