‘อสนียาพร นนทิพากร’
คงจะมีคนจำนวนไม่น้อยอาจตั้งคำถามอยู่ในใจว่าเมื่อไหร่สถานการณ์ไฟใต้จะสงบ และอาจมีอยู่จำนวนไม่น้อยเช่นกันที่ไม่อยากจะรับรู้และติดตามข่าวสารความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ จชต. ที่เกิดจากการกระทำของกลุ่ม ผกร. ซึ่งเหตุการณ์แต่ละครั้งได้คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ และได้ทำลายทรัพย์สินของรัฐ และประชาชนได้รับความเสียหายเป็นวงกว้าง
คำถามที่ตามมาคือเมื่อไหร่? เจ้าหน้าที่จะติดตามจับกุมตัวคนร้ายมาลงโทษ และเมื่อจับตัวคนร้ายเหล่านั้นได้แล้ว มีการกล่าวเหน็บแนมว่าอีกไม่กี่วันคนร้ายจะได้รับการปล่อยตัวเป็นอิสระ หรือหากมีการส่งตัวดำเนินคดีในชั้นศาลก็จะได้รับการยกฟ้องเนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอ ปล่อยให้คนชั่วลอยนวลกลับไปก่อเหตุซ้ำ เข่นฆ่าผู้คนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หากรัฐไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายนำตัวคนร้ายมาลงโทษ และรูปการยังเป็นอยู่แบบนี้อีกต่อไป จะสร้างผลลบในภาพรวม ประชาชนขาดความเชื่อถือต่อกระบวนการยุติธรรมของรัฐ แต่กลับตรงกันข้าม กลุ่ม ผกร. ที่กระทำความผิดจะยิ่งได้ใจ กระทำความผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่กลับไม่ต้องรับโทษทัณฑ์
ย้อนกลับไปดูข้อมูลสถิติคดีความมั่นคงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2558 พนักงานสอบสวนส่งฟ้องดำเนินคดี จำนวน 1,904 คดี ชั้นอัยการส่งฟ้อง 827 คดี แต่เมื่อเข้าสู่การพิจารณาชั้นศาลได้ยกฟ้อง 431 คดี คิดเป็นร้อยละ 60.79 จะเห็นได้ว่าเกิดจากหลักฐานไม่แน่นหนาพอ ผู้ที่ถูกดำเนินคดีจะได้รับการยกฟ้องซึ่งมีจำนวนสูงมากเกือบ 61% เลยทีเดียว
นั่นคือความเป็นจริงที่จะต้องยอมรับในจุดอ่อนที่จะต้องได้รับการแก้ไข แต่หากมาแจกแจงดูสถิติผลการดำเนินการบังคับใช้กฎหมายต่อผู้ก่อเหตุรุนแรง ตั้งแต่เดือน ตุลาคม 2557 จนถึงปัจจุบัน กลับมีข้อมูลที่น่าสนใจ พบว่าศาลพิพากษาแล้ว จำนวน 18 คดี มีผู้ต้องหา 25 คน โดยศาลพิพากษาลงโทษ 15 คดี คิดเป็นร้อยละ 83.33 และยกฟ้องเพียง 3 คดี คิดเป็นร้อยละ 16.67
จะเห็นได้ว่าจากการติดตามจับกุมนำตัวผู้กระทำความผิด ส่งตัวฟ้องศาลตามกระบวนการขั้นตอนของกฎหมาย ตั้งแต่ปี 56 เป็นต้นมา ศาลได้มีคำสั่งยกฟ้องของคดีน้อยมาก ประมาณ 17% ซึ่งหากเปรียบเทียบกับการยกฟ้องของศาลสถิตยุติธรรมที่ผ่านมาสูงถึง 61%
คดีศาลสั่งยกฟ้องลดลงเป็นเพราะสาเหตุใด? ผู้เขียนพยายามหาคำตอบและเปรียบเทียบเชิงสถิติข้อมูล ตั้งสมมติฐานต่างๆ นาๆ พร้อมทั้งได้ติดตามสถานการณ์เฝ้ามองความเปลี่ยนผ่านในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งพวกเราทุกคนในพื้นที่แทบจะไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นความเคยชิน คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่ปกติมานานนับสิบกว่าปี
ปัจจุบันนี้ต้องยอมรับว่ากระแสการตอบรับการสร้างสันติสุขร่วมกันของทุกภาคส่วนค่อนข้างมาแรง การประณามการกระทำที่สุดโต่งต่อต้านการก่อเหตุของ ผกร. ได้เกิดขึ้นในวงกว้างอย่างไม่เคยมีมาก่อนทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเบนเข็มมุ่งไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้นในแทบจะทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน การพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน การพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ ที่สำคัญคือการอำนวยความยุติธรรมในการบังคับใช้กฎหมายที่เท่าเทียมและเสมอภาค ไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่จะสร้างเงื่อนไขใหม่ให้เกิดขึ้นในพื้นที่
กระบวนการยุติธรรมเช่นเดียวกัน การส่งตัวคนร้ายฟ้องศาลของพนักงานสอบสวนมิได้เป็นตัวชี้วัดว่าประสบผลสำเร็จในการนำตัวคนผิดมาลงโทษ แต่การที่ศาลได้ตัดสินคดีความ และไม่ทำการยกฟ้องต่างหากคือความสำเร็จในการนำตัวคนร้ายเข้าสู่คุกตารางหรือลงโทษถึงขั้นประหารชีวิตว่าไปตามความผิดที่ได้กระทำมา การบังคับใช้กฎหมายต้องมีประสิทธิภาพและเท่าเทียม กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนจะต้องปฏิบัติตาม
จากสถิติศาลได้มีคำพิพากษาลงโทษผู้กระทำความผิดสูงขึ้นและยกฟ้องน้อยลง ปัจจัยเกื้อหนุนนับตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา หน่วยงานภาครัฐได้มีการนำกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล (DNA) เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 (ศพฐ.10) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นหน่วยงานหลักในการจัดเก็บข้อมูลบุคคลสุ่มเสี่ยง
นับต่อจากนี้ไปการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐในการบังคับใช้กฎหมาย ทำการติดตามจับกุมตัวผู้ต้องสงสัยจะมีความรัดกุมยิ่งขึ้น และที่สำคัญปฏิบัติภายใต้กรอบของกฎหมาย ไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน นำกระบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์ในการตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล (DNA) มาปรับใช้เพื่อความแม่นยำในกระบวนการชั้นสอบสวนเป็นหลักฐานในการส่งตัวฟ้องศาลเพื่อดำเนินคดี
การออกมากล่าวหาเจ้าหน้าที่จับผิดตัว หรือจับแพะจะไม่เกิดขึ้นอีก เนื่องจากการตรวจ DNA พิสูจน์ตัวบุคคล มีความน่าเชื่อถือ และมีมาตรฐานระดับ ISO เป็นที่ยอมรับของสากล และปัญหาการยกฟ้องเนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอของศาลจะหมดสิ้นไป ผู้ที่กระทำความผิดจะต้องได้รับโทษ ไม่ปล่อยให้ลอยนวลหวนกลับไปทำการก่อเหตุร้ายซ้ำอีก.....