ระยะเวลา 2 ปี 7 เดือนกับอีก 26 วัน ของการมีคนไทยพุทธ ลุกขึ้นมาพูดเรื่อง ความไม่เท่าเทียมที่ภาครัฐปฏิบัติต่อคนพุทธในพื้นที่ ความไม่เข้าใจในเรื่องกระบวนการสันติภาพ ที่ไปพูด ไปคุยกันที่มาเลเซีย
ช่วงเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่ลุกขึ้นมาพูด ในช่วงแรกๆ อาจจะเป็นการพูดแทนพี่น้องคนไทยพุทธในพื้นที่ ที่ไม่ค่อยกล้าที่จะลุกมาพูดเรื่องร้องสิทธิ ให้กับตัวเอง
มีโอกาสได้ทำกิจกรรมวิชาการให้กับพี่น้องไทยพุทธ ในการได้เรียนรู้ถึงการพูดคุย มีโอกาสได้รับฟังความทุกข์ของพี่น้องคนไทยพุทธในพื้นที่ ที่เก็บสะสมไว้มากมาย
โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าเป็นผลดีอย่างยิ่งที่เปิดพื้นที่ให้กับคนไทยพุทธที่นับวันจะเหลือน้อยลงทุกขณะ ได้ระบายความรู้สึกที่เก็บสะสมมานาน เริ่มมีพื้นที่แบบนี้ บ่อยยิ่งขึ้น
จากที่ไม่เคยมีใครลุกขึ้นมาพูด จนมาถึงการรวมกลุ่มกันมากยิ่งขึ้น แนวทางเดินเริ่มชัดขึ้น กิจกรรมการเรียนรู้เริ่มขยายตัวในหมู่คนไทยพุทธ แม้แต่การเริ่มตั้งกลุ่มที่เกี่ยวกับศาสนาพุทธ เพื่อทำนุบำรุงพุทธศาสนา เริ่มมีมากขึ้น นับเป็นผลดีต่อการสร้างความเข้าใจในการอยู่ร่วมกัน
ผมเอง เริ่มรู้จักคนที่ทำงานด้านสันติวิธีมากขึ้น การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อปัญหาในพื้นที่มากขึ้นไปด้วย แถมเวทีที่จะสร้างความเข้าใจความเป็นอยู่ของคนไทยพุทธ ให้กับคนไทยมุสลิมฟัง และสร้างความเข้าใจ ก็มากขึ้น
การผ่านร้อน ผ่านหนาว แม้เพียงเวลาแค่ 2 ปี ก็ต้องยอมรับเหมือนกันว่า มันทั้งร้อน และหนาวจริงๆ หากแต่เรายอมที่จะร้อน อดทนที่จะหนาว มันก็ทำให้เราเดินไปได้เช่นกัน แม้มันจะช้าหน่อยก็ตามที โดยรวมแล้ว การเดินทางตาม แผนที่เดินทางสู่สันติภาพในบทบาทของคนไทยพุทธ มันก็ค่อนข้างเร็วอยู่เหมือนกัน ครับ
จวบจน เครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพ หรือ B4P เริ่มมีพื้นที่ของการพูดคุยสันติภาพ หรือสันติสุข ถึงแม้จะเป็นแค่พื้นที่เริ่มต้นของเรา ก็มันก็ดูดีเกินกว่าจะคิด
หากแต่ เส้นทางของการเดินทางสู่สันติภาพ มันไม่ได้มีไฟส่องสว่างให้เห็นเส้นทางซะทีเดียว มีอุปสรรคมากมายในการเดิน อุปสรรคที่เกิดจากรัฐเอง ซึ่งก็ออกมาบอกเสียงดังฟังชัดว่า ต้องการสร้างสันติภาพให้เกิดในพื้นที่ มีการจัดตั้งศูนย์สันติวิธี หากตัวผมเอง กลับมองว่า รัฐพยายามสร้างมวลชนของรัฐเอง เพื่อเป็นกำลังหนุนเสริมแนวคิดของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างกลุ่มต่างๆ ไปจนถึงกลุ่มของศาสนา
หากมาเหมือนดั่งที่กล่าวมา คนทำงานสันติภาพ ยังคงต้องทำงานให้หนักยิ่งขึ้น แน่นอน
มาถึง องค์กร หรือกลุ่มต่างๆ ที่มีการก่อตั้งกันขึ้นมา บางกลุ่มบางองค์กร การทำงานก็เป็นที่ยอมรับเหมือนกัน แต่บางกลุ่มบางองค์กรเองที่ยังยึดแนวคิดเดิมๆ สร้างมวลชนเพื่อต่อต้านรัฐ ก็ยังคงมีอยู่ ซึ่งแนวทางสันติภาพที่จะต้องนำสู่มวลชน จะมีทางออกแบบไหน สันติภาพที่เราพูดๆ กันอยู่ จะถูกถ่ายทอดลงสู่พื้นล่างอย่างสันติภาพจริงๆ หรือไม่ อันนี้ คงต้องรอดูกันต่อ
สำหรับองค์กรที่เริ่มมีการก่อตั้งกันขึ้นมา แล้วนำเอาคำว่า สันติภาพไปใช้ ซึ่งผมเองก็ไม่ได้นึกแปลกใจอะไร เพราะเคยได้พูดคุยกับ ประธานสภาประชาสังคมชายแดนใต้ ไว้แล้วในเรื่ององค์กรเกิดใหม่ หลังเกิดการพูดคุยสันติสุข ที่ชัดเจนขึ้น ดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับตัวผมเองแล้ว หากองค์กรเกิดใหม่ ไม่เรียนรู้ถึงการสร้างสันติภาพในพื้นที่ ให้มากพอ ระยะทางการเดินที่ว่าไกล ก็คงจะทั้งไกล และลำบากมากขึ้น
หากเราทุกองค์กร ทุกกลุ่มสร้างการเรียนรู้ให้กับประชาชน เสริมความคิดให้กับชาวบ้านให้ดีๆ สันติภาพ หรือสันติสุข หรือศานติที่แลเห็น มันจะเริ่มเด่นชัดยิ่งขึ้นแน่นอน
ช่วงเดือนที่ผ่านมา .. เหตุการณ์หลายต่อหลายเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นกับพี่น้องมุสลิม หรือพี่น้องพุทธ ก็ตาม มันดูเป็นเหตุการณ์ที่โหดร้ายมาก แต่เราก็ต้องวิเคราะห์เหตุการณ์ด้วยเหมือนกัน มันมีหลากหลายมิติของเหตุการณ์ เรื่องส่วนตัว เรื่องผลประโยชน์ แต่โยนไปเป็นเหตุการณ์ หรือเปล่า อันนี้ก็ต้องดูกันต่อไปครับ
สิ่งที่มันขาดหายไปจากความต้องการของเรา จนเราคิดไม่ถึง คือ การทำงานด้านสิทธิมนุษยชน สำหรับคนไทยพุทธแล้ว ไม่เคยสนใจในประเด็นนี้ หากแต่พอเริ่มมีเหตุที่จะต้องเรียกร้องสิทธิฯ สำหรับคนไทยพุทธ เราก็พูดอะไรไม่ออก เพียงเพราะเราขาดความสนใจ เริ่มมีเหตุที่จะต้องช่วยในกรณี เยาวชนไทยพุทธ กับคดีความมั่นคง เราก็ก้าวขาไม่ออกที่จะออกมาบอก มาเรียกร้องถึงความยุติธรรม
ส่วนตัวแล้ว ไม่เคยคิดเสียดายเวลาที่ลุกขึ้นมาเพื่อเริ่มเป็นต้นเสียงร้อง ของคนไทยพุทธ แม้บางครั้ง มันจะต้องสะดุด หกล้ม ตีลังกา บ้าง ก็ถือว่าธรรมดา แม้บางครั้งจะมีเสียงบ่นบ้าง ก็เป็นเพียงการบ่นเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวเองเท่านั้น
2 ปี ที่เริ่มมีเสียงของคนพุทธ ซึ่งคิดว่ามันคือเสียงที่มีคุณค่า จงหยิบจับเอาเสียงๆ นี้ เป็นชนวนนำพาให้เราเดินไปให้ถึง ศานติ (ความเงียบ ความสงบ) ที่แลเห็น