ความตายและการจัดการศพในทรรศนะอิสลาม
การตายในทรรศนะอิสลามไม่ได้เป็นความทุกข์ อิสลามถือว่าการตายคือการกลับไปสู่ความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า ความตาย คือ การเปลี่ยนแปลงจากการมีชีวิตที่พร้อมกับร่างกายด้วยการมีชีวิตในโลกต่อไปเหมือนกับการเกิด เป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตจากการที่ต้องพึ่งร่างกาย ไปสู่การมีชีวิตทีไม่ต้องการร่างกาย จากชีวิตที่ต้องการสิ่งต่างๆ ไปสู่ชีวิตที่ไม่ต้องการอะไรเลย
ความตายตามทรรศนะอิสลาม คือ จุดหมายปลายทางของการเดินทางชีวิตนี้ไปสู่ชีวิตใหม่ความตายเปรียบเสมือนประตูที่ก้าวผ่านจากชีวิตหนึ่งไปสู่อีกชีวิตหนึ่ง ซึ่งเป็นชีวิตนิรันดร์ ความตายทำให้มนุษย์สมบูรณ์
เมื่อได้รับข่าวการตายของพี่น้องมุสลิม มุสลิมจะกล่าวว่า "อินนาลิลลาฮิวะอินนา อิลัยฮิรอญิอูน" (แปลว่า แท้จริงเราเป็นของอัลลอฮ์และยังพระองค์ที่เราต้องคืนกลับ) หลังจากนั้นก็จะไปเยี่ยมครอบครัวหรือญาติของผู้ตายและร่วมนมาซ (ละหมาด) ศพ ตลอดจนไปส่งศพที่สุสานเพื่อทำการฝังศพ
เมื่อมีการตายเกิดขึ้น อิสลามได้กำหนดจัดการเรื่องฝังศพให้เสร็จเรียบร้อยโดยเร็วและประหยัดที่สุด เพื่อที่จะไม่เป็นภาระแก่คนที่อยู่ข้างหลัง ผู้ป่วยเสียชีวิต จะต้องหันหน้าศพไปยังนครมักกะฮ์ และชำระล้างทำความสะอาดศพ หลังจากนั้นจะห่อศพด้วยผ้าขาวเพื่อนำไปทำพิธีทางศาสนา และฝังโดยเร็วที่สุดโดยปกติแล้วพิธีการฝังศพของมุสลิมจะเสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุดภายใน 24 ชั่วโมง
ในการปฏิบัติต่อศพนั้น อิสลามได้กำหนดให้ปฏิบัติอย่างนุ่มนวลให้เกียรติ และจะต้องไม่ให้ศพเป็นที่เปิดเผยในสภาพอุจาดหรืออนาจาร ดังนั้นพี่น้องมุสลิมส่วนใหญ่จึงมักไม่ยินยอมให้มีการผ่าพิสูจน์ศพ เพราะจะเป็นเสมือนการทำร้ายศพ นอกจากนั้นแล้ว อิสลามยังไม่อนุญาตให้เผาศพ ด้วยเพราะถือว่าไฟนั้นเป็นสิ่งที่ใช้สำหรับการลงโทษผู้ทำบาปในนรก
สำหรับกรณีการตายเพื่อศาสนานั้น จะไม่มีการอาบน้ำศพ โดยจะฝังศพผู้กล้าในทางศาสนาโดยไม่มีการเปลี่ยนเสื้อผ้าหรืออาบน้ำศพ และห้ามผู้ไม่ใช่มุสลิมแตะต้องศพ ซึ่งส่งผลให้กรณีเหล่านี้มักไม่มีการชันสูตรพลิกศพตามกฎหมาย
ช่องว่างระหว่างนิติวิทยาศาสตร์และศาสนาวัฒนธรรม
การชันสูตรพลิกศพในบริบทของวัฒนธรรมมุสลิมนั้นยังมีปัญหาความเข้าใจที่ไม่สอดคล้องกันระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐและความคิดเห็นความเชื่อของพี่น้องมุสลิมอยู่มาก เช่น ในมาตรฐานในประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย หากมีการเสียชีวิตในลักษณะที่เป็นการตายที่ผิดธรรมชาติ กฎหมายได้มีการอนุญาตให้การชันสูตรพลิกศพได้อย่างเต็มที่ และเป็นที่ยอมรับของประชาชนในประเทศ
แต่สำหรับในไทยนั้นเรื่องนี้ยังมีความไม่เข้าใจอยู่สูงมาก การจะชันสูตรพลิกศพได้จำเป็นต้องขออนุญาตจากญาติก่อนทุกครั้งซึ่งเกือบทั้ง 100 % จะไม่ได้รับการอนุญาต ให้ดำเนินการ อีกทั้งการจัดการศพในวิถีมุสลิมซึ่งต้องมีการจัดการศพโดยเร็ว แม้ว่าในอัลกุรอานจะไม่ได้กำหนดระยะเวลาไว้ชัดเจน แต่ก็เป็นเรื่องที่ถือปฏิบัติกันโดยทั่วไปในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่าศพจะต้องถูกฝังภายใน 24 ชม. หรือหากเสียชีวิตในช่วงเช้าจะต้องฝังก่อนพระอาทิตย์ตกดินซึ่งเป็นแรงกดดันให้ทางภาครัฐต้องดำเนินการจัดการกับศพโดยรวดเร็วเพื่อส่งศพให้ญาติต่อไป
คนมุสลิมมีความเชื่อว่า ร่างกายของคนที่ตายไปแล้ว มีความรู้สึกเจ็บปวดเหมือนคนเป็น จึงต้องปฏิบัติต่อร่างกายของคนตาย ด้วยความเคารพเหมือนปฏิบัติต่อคนเป็น จะต้องไม่ให้ศพเป็นที่เปิดเผยในสภาพอุจาด การผ่าศพ (autopsy) จึงเป็นข้อห้ามในศาสนาอิสลาม ยกเว้นในรายที่ต้องชันสูตรพลิกศพ (forensic purpose)
ในประเทศมาเลเซีย และอินโดนีเซีย ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม สังกัดในสำนักติดชาฟีอีย์ เช่นเดียวกับประเทศไทย ก็พบว่า สามารถชันสูตรพลิกศพ ตามมาตรฐานสากลได้ และถ้าเป็นศพมุสลิมจะเก็บศพไว้ในโรงพยาบาล 3 วัน แต่ถ้าเป็นศาสนาอื่น จะเก็บศพได้ 15 วัน เพื่อรอญาติก่อนดำเนินการตามหลักศาสนาต่อไป
สำหรับการขุดพิสูจน์ศพก็สามารถทำได้ ถ้ามี คำสั่งของศาล เช่นเดียวกับกฎหมายของไทย ตาม ป.วิ.อาญา มาตราที่ 151 - 153 ในเรื่องการชันสูตรพลิกศพนั้นได้มีคำวินิจฉัยทางศาสนา (ฟัตวา) ของจุฬาราชมนตรี ที่ 04/2549 เรื่องการชันสูตรพลิกศพ ที่สามารถทำได้ถ้าจำเป็น เพื่อประโยชน์ในการดำเนินคดีและในทางการแพทย์ก็ตาม
แต่อย่างไรก็ตามความเชื่อของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงเห็นว่า ไม่ควรกระทำการชันสูตรพลิกศพด้วยการผ่าศพหรือแม้แต่การกรีดผิวหนังเพื่อเอาหัวกระสุนที่ตุงอยู่ออกมาประกอบเป็นหลักฐานในการชันสูตรพลิกศพ ในทางปฏิบัตินั้นมิติทางด้านความเชื่อวัฒนธรรมมักมาก่อนนิติวิทยาศาสตร์เสมอ
หัวกระสุน หลักฐานแห่งความหวัง
ในปัจจุบัน สภาพความเป็นจริงของการชันสูตรพลิกศพมุสลิมในพื้นที่ทำได้เพียงการบันทึกบาดแผลภายนอก โดยดูจากบาดแผล หรือรองวิถีของอาวุธ พยายามระบุตำแหน่งไหนเป็นตำแหน่งที่อาวุธเข้า - ออก อาวุธที่ทำอันตรายนั้นเป็นชนิดอะไร โดยเฉพาะกรณีที่ยิงด้วยอาวุธปืน จะต้องระบุว่าเป็นลูกปรายหรือลูกโดด โดยปกติถ้ากระสุนอยู่ลึกมาก แพทย์ต้องขออนุญาตจากญาติเพื่อผ่าตัดเอากระสุนออก ซึ่งส่วนใหญ่ญาติมักไม่ยินยอม คงทำได้เพียงใช้เหล็กตรงแยงตามรูยิงเพื่อหาทิศทางของอาวุธเท่านั้น สุดท้ายอาจจะทำได้เพียงเอ็กซ์เรย์ เพื่อดูกระสุนหรือเศษสะเก็ดระเบิดตกค้างเท่านั้น โดยไม่มีการผ่าศพ ทำให้การเก็บหัวกระสุนหรือเศษสะเก็ดระเบิดที่ฝังอยู่ในร่างกายไว้เป็นวัตถุพยานเพื่อหาตัวผู้กระทำผิดต่อไปนั้นเป็นไปได้ยากมาก
สำหรับกรณีหัวกระสุนนั้นจะถูกคาดหวังมาจากตำรวจให้ผ่าเก็บไว้เป็นหลักฐานซึ่งกรณีที่ฝังอยู่บริเวณผิวหนัง แพทย์ก็มักจะดำเนินการผ่าเอาหัวกระสุนออกไว้ให้ แต่หากกระสุนอยู่ลึกก็จะเป็นปัญหาในการนำหัวกระสุนให้กับทางตำรวจ ทั้งนี้เนื่องจากแพทย์ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นแพทย์ทางนิติเวชโดยตรง อีกทั้งการต้องผ่ากระสุนที่ฝังอยู่ลึกต้องเปิดบาดแผลกว้างซึ่งจะเกิดปัญหากับญาติของผู้เสียชีวิตอย่างแน่นอน
ในบางกรณีแม้กระสุนยังตุงอยู่ที่ผิวหนัง แต่ญาติไม่อนุญาตให้ผ่าออกก็เป็นการยากที่แพทย์จะฝืน ตำรวจขอให้ผ่า แต่ญาติไม่อนุญาตและมองตาเขียวอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง แพทย์ส่วนใหญ่ก็จะไม่ผ่าให้ เพื่อความปลอดภัยของแพทย์เองที่ยังต้องอยู่ในชุมชนนั้นๆ ทุกวัน ทำให้ปัญหาการเก็บหลักฐานในเรื่องนี้ยังเป็นปัญหาใหญ่ในพื้นที่
ความยากลำบากของการชันสูตรศพในโรงพยาบาล
การนำศพมาชันสูตรพลิกศพในโรงพยาบาลก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหา ปัญหาที่สำคัญอีกประการหนึ่งของการชันสูตรในโรงพยาบาลคือปัญหาทางสังคมอันเนื่องมาจากญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิตมักจะมายืนมุงกันเป็นจำนวนมาก หลายกรณีที่มายืนโดยแจ้งว่าเป็นญาติ มาอยู่ข้างหลังการชันสูตรพลิกศพทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ เหมือนเป็นการกดดันเจ้าหน้าที่กลายๆ การกันญาติไม่ให้เข้ามาในทางปฏิบัตินั้น ทำได้ยากเพราะสถานที่ในการชันสูตรพลิกศพส่วนใหญ่ ก็จะเป็นห้องฉุกเฉิน หรือแม้แต่ห้องผ่าศพในโรงพยาบาลจังหวัด ก็ยังมีปัญหาในเรื่องของการกันญาติเช่นเดียวกัน
โรงพยาบาลส่วนใหญ่มีมาตรการในการกันญาติที่ไม่เข้มงวดมากนัก เนื่องจากไม่อยากสร้างปัญหาหรือเงื่อนไขในการทำให้เกิดความไม่พอใจของผู้ประสบเหตุ อันจะส่งผลเสียต่อโรงพยาบาลในระยะยาว
การชันสูตรพลิกศพในโรงพยาบาลนั้นในความเป็นจริงต้องทำด้วยความเป็นกลางที่สุด กล่าวคือไม่เฉพาะญาติเท่านั้น ที่ไม่มายืนข้างหลังแพทย์ แม้แต่ตำรวจต้องไม่มาอยู่ด้วย เพื่อไม่ให้เกิดเป็นภาพของความกดดันแพทย์ผู้ชันสูตรพลิกศพอันเนื่องจากการชันสูตรพลิกศพนั้นเป็นการอำนวยความยุติธรรมให้เกิดขึ้น
หลายๆ ศพในพื้นที่นั้น บางกรณีไม่มีการชันสูตรพลิกศพ คือเมื่อมีการถูกยิงเสียชีวิต ชาวบ้านก็นำไปฝังบางครั้งอาจมีการถ่ายรูปโดยผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน มาที่โรงพยาบาลบ้างเพื่อยืนยันให้แพทย์ออกใบรับรองการตายและเขียนใบชันสูตรพลิกศพ ซึ่งในทางทฤษฏีแล้วรูปถ่ายไม่สามารถทดแทนการชันสูตรพลิกศพได้ เป็นเพียงการบันทึกหลักฐานทางการแพทย์ชั้นหนึ่งเท่านั้น เพราะการเห็นเพียงรูปอาจไม่สามารถเห็นความจริงทั้งหมดได้ หรืออาจมีเงื่อนงำแอบแฝงได้ แต่ในทางปฏิบัติแพทย์ในพื้นที่ก็มีความจำเป็นต้องลงใบรับรองการตายและเขียนหลักฐานการชันสูตรพลิกศพให้
เส้นบางๆ ระหว่างความเป็นกลางและความเป็นจริง
อีกกรณีศึกษาหนึ่งที่น่าสนใจ คือ กรณีที่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ถูกอาวุธปืนยิงเข้าบริเวณขาและกระสุนฝังใน ผู้ได้รับบาดเจ็บไปที่สถานีอนามัยแห่งหนึ่งในจังหวัดยะลา ได้ปฐมพยาบาลเบื้องต้นแต่เนื่องจากเลือดออกมาก เจ้าหน้าที่สถานีอนามัยแนะนำให้ไปรักษาที่โรงพยาบาล ปรากฏว่าผู้ป่วยได้กำชับถามเจ้าหน้าที่ว่า ถ้าไปโรงพยาบาลเขาจะถูกจับกุมไหม ให้เจ้าหน้าที่รับปากได้ไหมว่าจะไม่ถูกตำรวจจับกุม ทางเจ้าหน้าที่สถานีอนามัยซึ่งคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นสำคัญ เนื่องจากเห็นว่าสูญเสียเลือดมากจึงรับปากไป แต่เมื่อผู้ป่วยไปถึงโรงพยาบาลก็มีตำรวจมาจับกุมในห้องฉุกเฉินหลังจากได้ทำแผล เย็บแผล ห้ามเลือดเสร็จสิ้น สร้างความหวั่นใจให้กับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขคนดังกล่าวจนต้องออกนอกพื้นที่ ญาติผู้ป่วยได้มาบอกเจ้าหน้าที่คนนั้นที่สถานีอนามัยว่า "ทำอย่างไรก็ได้ให้ออกมาจากคุก มิเช่นนั้น ตาย" ในทางปฏิบัติหลังการดำรงความเป็นกลางนั้นเป็นสิ่งที่ยากเย็นอย่างยิ่ง
หรืออีกกรณี เช่น ตำรวจนำศพจากพื้นที่มาให้ชันสูตรในโรงพยาบาล ในลักษณะบังคับให้แพทย์ทำการชันสูตรพลิกศพซึ่งส่วนใหญ่ญาติก็จะตามมาด้วย ประสบการณ์ของแพทย์ในพื้นที่คือหากประเมินแล้วพบว่าญาติไม่ยินยอมให้มีการชันสูตรพลิกศพไม่ว่าโดยวาจาหรือโดยพฤติกรรม เช่น ยืนมองด้วยสายตาอันจ้องเขม็ง ตาเขียวใส่ แพทย์ส่วนใหญ่ก็จะไม่ทำการชันสูตรพลิกศพให้ หรือทำการผ่าเอาหัวกระสุนออกให้ ทั้งนี้ เพราะแพทย์ในพื้นที่อยู่ในที่สว่างจะถูกตามยิงเมื่อไรไม่มีใครรู้และไม่มีใครสามารถช่วยเหลือได้ ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดในการปฏิบัติหน้าที่ของแพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในขณะนี้ คือ ต้องวางตัวเป็นกลางจริงๆ จะได้ไม่โดนข้อหาเป็นคนของรัฐอันจะกลายเป็นเป้าในที่สุด
เมื่อต้องชันสูตรพลิกศพผู้ก่อการร้าย
กรณีศพผู้ก่อการร้ายถูกยิงตายนั้น การชันสูตรพลิกศพในพื้นที่จะเป็นไปไม่ได้ เพราะส่วนใหญ่ญาติจะเข้าไปถึงศพก่อนและมักกอดศพไว้ อีกทั้งจะห้ามไม่ให้แพทย์ผู้หญิง คนนอกศาสนาในการไปจับต้องศพ สุดท้ายเจ้าหน้าที่มักจะไม่สามารถดำเนินการใดๆ กับศพได้ โดยส่วนใหญ่ของโรงพยาบาลเองนั้นก็ยินดีที่จะไม่ต้องชันสูตรศพนั้น แต่ก็จะทำให้การอำนวยความยุติธรรมในการสอบสวนเป็นไปไม่ได้ โดยเจ้าหน้าที่อาจจะให้ญาติยินยอมที่จะไม่ชันสูตรเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน
กรณีศึกษาที่น่าสนใจเช่น ที่อำเภอกะพ้อ จังหวัดปัตตานี ในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2547 มีเหตุการณ์ปะทะของตำรวจกับผู้ก่อการร้าย ทำให้ฝ่ายตรงข้ามเสียชีวิตไป 2 คน ตำรวจได้ตามแพทย์ให้ไปชันสูตรศพที่จุดเกิดเหตุ เนื่องจากเป็นกรณีที่มีความเสี่ยงต่อการถูกกล่าวหาว่าเป็นการรุมทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ทำให้ทางโรงพยาบาลปฏิเสธไม่ได้ ด้วยสำนึกในปัญหาและเข้าใจในสถานการณ์ว่าอาจเกิดความไม่เข้าใจของประชาชนเหมือนกรณีตากใบ และมีปัญหาแน่หากแพทย์ไม่ออกไปเพราะเป็นกรณีที่ชาวบ้านข้องใจ
เมื่อออกไปชันสูตร ที่ถนนคนแน่นมาก ไม่สามารถเอารถโรงพยาบาลเข้าไปได้ จนต้องเดินเข้าไปไกลมาก มีชาวบ้านมุงดูมากจนน่ากลัว เนื่องจากยังต้องรอพนักงานอัยการอีกนานมาก ในที่สุดทุกฝ่ายสรุปตรงกันว่า เห็นว่าควรนำศพมาชันสูตรที่โรงพยาบาล ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้น หากกลุ่มชาวบ้านลุกฮือมาแย่งชิงแห่ศพ มาทำร้ายเจ้าหน้าที่ก็ยากที่จะป้องกันตนได้
กรณีของโรงพยาบาลบันนังสตา จังหวัดยะลา ก็เป็นกรณีศึกษาหนึ่งที่สร้างความหนักใจให้กับแพทย์และบุคลากรในโรงพยาบาลเป็นอย่างยิ่ง กล่าวคือ มีกลุ่มผู้ก่อการร้ายถูกเจ้าหน้าที่รัฐยิงเสียชีวิตและกว่าที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองจะนำศพออกจากพื้นที่มาที่โรงพยาบาลเพื่อการชันสูตรพลิกศพได้ก็ใช้เวลาหลายชั่วโมง เมื่อมาถึงที่โรงพยาบาล ก็มีบรรดาไทยมุงจำนวนมากได้ยืนอยู่บริเวณนอกรั้วโรงพยาบาล มีการปลุกระดม มีการเขย่ารั้ว เผาถังขยะและมีบางส่วนเล็ดลอดเข้ามาในโรงพยาบาล ทันทีที่แพทย์ชันสูตรเสร็จซึ่งใช้เวลาในการชันสูตรอย่างรวดเร็วเพียงไม่กี่นาที ก็มีการแบกศพและแห่ศพออกตั้งแต่หน้าประตูห้องฉุกเฉินไปเลย พร้อมด้วยเสียงโห่และเสียงแสดงความสดุดีเปรียบประดุจการเชิดชูนักรบศักดิ์สิทธิ์
สภาพเหตุการณ์ทั้ง 2 กรณี ทำให้การชันสูตรพลิกศพในกรณีผู้ที่เป็นผู้ก่อเหตุความไม่สงบนั้น อาจจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องมีมาตรการเฉพาะที่รัดกุมกว่าที่ผ่านมา
บทเรียนการชันสูตรศพกรณี 28 เมษายน
สำหรับการชันสูตรพลิกศพ ในกรณีที่มีเหตุการณ์สำคัญที่มีศพจำนวนมากนั้นก็เป็นปัญหาเช่นกัน เช่นกรณีเหตุการณ์ 28 เมษายน 2547 ซึ่งมีการก่อเหตุของผู้ก่อความไม่สงบพร้อมกัน 10 จุด ทำให้มีผู้ก่อการเสียชีวิตกว่า 106 คนนั้น มีศพผู้ก่อการตายในที่เกิดเหตุจำนวนมาก การชันสูตรพลิกศพในพื้นที่ส่วนใหญ่มีการลงบันทึกบาดแผลไม่ละเอียด บันทึกเพียงเหตุการณ์ตาย เช่น ถูกปืนยิงเข้าที่สำคัญ ไม่มีการเก็บหลักฐานตามหลักวิชาการ ไม่มีการบันทึกรูเข้ารูออก หรือลักษณะเขม่าดินปืนว่ามีการจ่อยิงหรือไม่ให้ชัดเจน
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การชันสูตรพลิกศพในพื้นที่ในกรณีการตายหมู่เช่นกรณี 28 เมษายน 2547 มีความบกพร่องอยู่มาก ได้แก่
- การขาดประสบการณ์ในการชันสูตรพลิกศพของแพทย์ในพื้นที่ ซึ่งเป็นแพทย์ทั่วไปจบใหม่ ไม่ใช่แพทย์นิติเวช
- ความไม่สะดวกในการชันสูตรพลิกศพในพื้นที่ เช่นไทยมุง ความคับแคบของสถานที่ ความไม่พร้อมของเครื่องมือในการออกพื้นที่เป็นต้น
- สถานการณ์ที่ยังคงมีความเสี่ยงสูง ทำให้ต้องรีบเร่งในการชันสูตรพลิกศพ ดำเนินการส่งผลให้กระบวนการทางศาลในการพิจารณาคดีนั้นมีข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ ซึ่งส่งผลเสียต่อทั้งตัวบุคลากรทางการแพทย์เองซึ่งเป็นผู้ลงบันทึกและต้องไปเป็นพยาน ทำให้ไม่สามารถตอบคำถามหลายๆ คำถามได้อีกทั้งไม่สามารถอำนวยความยุติธรรมให้กับศพที่เสียชีวิตได้ดีพอ
ปัญหาการชันสูตรพลิกศพกรณีมีการเสียชีวิตจำนวนมากก็เป็นอีกกรณีที่ควรได้รับการพิจารณาแนวทางการดำเนินการเป็นกรณีเฉพาะเช่นเดียวกัน
การตรวจ DNA ระบบที่ยังไม่ได้พัฒนา
สำหรับประเทศไทยยังไม่มีระบบการชันสูตรพลิกศพหรือผู้ป่วยไม่ทราบชื่อ สกุล ที่เป็นมาตรฐานชัดเจนกล่าวคือยังไม่มีระบบการตรวจ DNA โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เนื่องจากในบริบทของมุสลิมต้องมีการจัดการศพโดยเร็ว ศพนิรนามส่วนใหญ่ที่มีการชันสูตรศพก็จะระบุเป็นเพียงชายไม่ทราบชื่อแล้วมีบาดแผลตรงนี่ ตรงนั้น เหตุตายคืออะไร ถ่ายรูปเก็บไว้ หากศพเสียชีวิตเป็นเวลานานแล้วก็จะทำให้บวม อืด ไม่สามารถจะดูลักษณะบุคคลได้ชัดเจน มอบศพให้กับผู้หลักผู้ใหญ่ของชุมชนไปทำพิธีต่อไป ซึ่งการจะไปขุดศพมาตรวจพิสูจน์บุคคลในภายหลังนั้นก็เป็นเรื่องยากและเสียความรู้สึกในหมู่พี่น้องมุสลิม ดังนั้นจึงควรมีการกำหนดมาตรฐานของการดำเนินการเก็บศพนิรนามให้ชัดเจน
บทเรียนที่ชัดเจนเช่น กรณีของโรงพยาบาลยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี เมื่อมีการนำศพชายไม่ทราบชื่อซึ่งถูกทำร่ายด้วยอาวุธมาที่โรงพยาบาล พบว่าศพนั้นมีความสูงประมาณ 160 เซนติเมตร แต่บัตรประชาชนในกระเป๋านั้นมีการขูดเอาใบหน้าออกและมีความสูงจากรูปในบัตรประชาชนประมาณ 170 เซนติเมตร ซึ่งขัดแย้งกับศพจริง ตำรวจมีการร้องขอให้ตรวจ DNA ของชายคนดังกล่าว ซึ่งเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 8-12 ชั่วโมง แต่ในปัจจุบันนั้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังไม่มีการจัดระบบการเก็บ DNA ที่เป็นระบบ แผนกนิติเวชของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เองยังไม่มีความพร้อมในการตรวจ โรงพยาบาลในพื้นที่ยังไม่มีความสามารถในการเก็บเนื้อเยื่อเพื่อส่งตรวจ DNA ในปัจจุบันยังต้องอาศัยทีมนิติเวชจากทางกรุงเทพฯ มาดำเนินการให้
ซึ่งโดยวิชาการแล้ววิธีการเก็บเนื้อเยื่อเพื่อส่งตรวจ DNA ที่ดีที่สุดคือ ตัดเอากระดูกต้นขาหรือกระดูกซี่โครงความยาวประมาณ 1 นิ้วมาเพื่อนำไขกระดูกไปตรวจหา DNA หรือหากเสียชีวิตในเวลาไม่เกิน 48 ชั่วโมง หลังการเสียชีวิต ก็อาจเก็บจากชิ้นกล้ามเนื้อโดยตัดเอากล้ามเนื้อประมาณ 1 ลูกบาศก์เซนติเมตรส่งตรวจ ไม่แนะนำให้ส่งเนื้อเยื่อจากกระพุ้งแก้มหรือเลือดในการตรวจเนื่องจากขั้นตอนในการเก็บค่อนข้างยุ่งยาก และมีการปนเปื้อน DNA ของผู้อื่นได้ง่ายรวมทั้งต้องใช้ media หรือสารเลี้ยงในระหว่างการขนส่งที่ดีมาก
อย่างไรก็ตามระบบเหล่านี้ยังไม่ถูกจัดตั้งในพื้นที่ภาคใต้ รวมทั้งยังไม่นโยบายจากรัฐบาลว่าจะให้ความสำคัญกับการจัดระบบในเรื่องนี้หรือไม่ และคงต้องอาศัยการศึกษาทางวิชาการอีกพอสมควรว่า คุ้มค่าหรือไม่ และจะมีการจัดวางระบบอย่างไรจึงมีประสิทธิภาพมากที่สุดภายใต้ทรัพยากรอันจำกัด
ข้อเสนอสำหรับอนาคตที่อาจไม่ดีที่สุด
สืบเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งมีแนวโน้มว่าอีก 10 ปีก็ไม่จบนั้น ดังนั้น การวางระบบการชันสูตรพลิกศพในพื้นที่ให้เป็นระบบให้สามารถอำนวยความยุติธรรมและสามารถสร้างความเชื่อถือจากประชาชนในพื้นที่ได้จริง จึงเป็นสิ่งที่ควรจะกระทำโดยอาจจะต้องมีการสร้างลักษณะคล้ายโรงพยาบาลสนามสำหรับการชันสูตรพลิกศพในพื้นที่ขึ้นมาอย่างน้อยจังหวัดละ 1 แห่ง หรืออาจเรียกง่ายๆว่า ศูนย์นิติเวชส่วนหน้า
โดยศูนย์นิติเวชส่วนหน้าต้องเป็นสถานที่ที่มีความเป็นกลาง ปฏิบัติงานโดยทีมงานมืออาชีพ คือมีทีมเก็บหลักฐานในพื้นที่ที่เข้าเก็บหลักฐานและถ่ายภาพลักษณะการเสียชีวิต การก่อเหตุในที่เกิดเหตุ หลังจากนั้นก็นำศพมาชันสูตรพลิกศพเพิ่มเติมในศูนย์นิติเวชส่วนหน้า โดยต้องเป็นสถานที่ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี ไม่กดดันแพทย์ การชันสูตรในห้องที่ปลอดภัยนั้นจะทำให้ชันสูตรได้เร็วและเก็บรายละเอียดได้สมบูรณ์ อีกทั้งมีพื้นที่ดูแลทางจิตวิทยาและการเยียวยาเบื้องต้นแก่และญาติของผู้สูญเสีย
อย่างไรก็ตาม ในบริบทที่ประเทศไทยมีแพทย์นิติเวชไม่เพียงพอ ส่วนใหญ่กระจุกอยู่ในกรุงเทพ อีกทั้งยังมีความขัดแย้งกันเองของหน่วยงานนิติเวชในประเทศไทยที่มาจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติกับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์และมหาวิทยาลัยที่มีคณะแพทยศาสตร์ ทำให้โอกาสที่จะมีการระดมกำลังทรัพยากรบุคคลเพื่อจัดตั้งศูนย์ดังกล่าวเป็นไปได้ยากยิ่ง
ปัญหาไม่ใช่สถานที่และงบประมาณ แต่อยู่ที่บุคลากรที่จะมาทำหน้าอันสำคัญนี้
แต่ก็แน่นอนว่า เมื่อมีศูนย์นิติเวชส่วนหน้าในการทำหน้าที่ชันสูตรพลิกศพแล้ว ฝ่ายผู้ก่อการร้ายย่อมจะแก้เกมด้วยการดำเนินการดักไม่ให้มีการส่งศพที่มีความสำคัญมาชันสูตรพลิกศพที่ศูนย์ฯ แห่งนี้ เพราะการชันสูตรพลิกศพที่ดีมีความเป็นธรรม จะบอกถึงความจริงว่า คนกลุ่มใดเป็นผู้ทำร้าย จะสามารถทำความจริงให้กระจ่างสยบข่าวลือได้ในระดับหนึ่ง
ทางออกสำหรับการแก้ปัญหาการชันสูตรพลิกศพในสถานการณ์ไฟใต้นั้น ยังต้องการการแลกเปลี่ยนเพื่อแสวงหาทางออกที่ดีที่สุด สถานการณ์เป็นพลวัต คงไม่มีทางออกทางใดที่ดีที่สุด การปรับเปลี่ยนกลไกของรัฐในการตามให้ทันกับปัญหาการชันสูตรพลิกศพที่หลากหลาย จะช่วยให้สามารถใช้กลไกด้านนิติวิทยาศาสตร์ในการอำนวยความยุติธรรมให้กับผู้สูญเสียจากสถานการณ์ความไม่สงบในสถานการณ์ไฟใต้ให้ได้มากที่สุด
หมายเหตุ : ข้อมูลที่ใช้ประกอบการเขียนเอกสารประสบการณ์จากหลายโรงพยาบาลในพื้นที่ และการเยี่ยมพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในวันที่ 23-25 เมษายน 2550 ของทีมแพทย์ อันประกอบด้วย
- ผศ.พญ.สายพิณ หัตถีรัตน์ ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
- ผศ.นพ.เอนก ยมจินดา สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม
- นพ.วิระชัย สมัย หน่วยนิติเวชและพิษวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
- ผศ.นพ.วรวีร์ ไวยวุฒิ ภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
- นพ.สุวัฒน์ วิริยพงษ์สุกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเทพา จังหวัดสงขลา
- นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ จังหวัดสงขลา
นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ จังหวัดสงขลา
สถานการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค. 2547 จนถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 3 ปีแล้ว มีจำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตกว่า 5,000 ราย ทั้งๆ ที่ "การชันสูตรพลิกศพ" คือ ขั้นตอนสำคัญของการค้นหาความจริงและการอำนวยความยุติธรรมให้กับทุกฝ่าย แต่บทบาทในการชันสูตรพลิกศพจากสถานการณ์ความไม่สงบยังมีความไม่ลงตัวอีกมาก
สถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้น น่าจะใช้เวลาอีกอย่างน้อย 10 ปี จึงจะมีทีท่าว่าจะสงบลงได้ แต่ในปัจจุบันที่เวลาผ่านไปแล้วกว่า 3 ปีนั้น ยังมีปัญหาในด้านการชันสูตรพลิกศพอีกมาก ส่วนใหญ่ยังเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ทั้งปัญหาความปลอดภัยในการออกชันสูตรพลิกศพนอกโรงพยาบาล ปัญหาการขาดแคลนแพทย์นิติเวช ทำให้ภาระดังกล่าวตกกับแพทย์ทั่วไป ปัญหาการไม่ยอมรับกระบวนการชันสูตรพลิกศพซึ่งขัดแย้งกับความเชื่อของพี่น้องมุสลิมในพื้นที่ ปัญหาการวางตัวให้เป็นกลางของบุคลากรด้านสุขภาพ เป็นต้น
จนถึงวันนี้รัฐบาลและกระทรวงที่เกี่ยวข้องไม่ว่ากระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงสาธารณสุข ยังไม่มีการวางระบบการชันสูตรพลิกศพที่มีประสิทธิภาพในระยะยาว ที่น่าเศร้ากว่านั้น คือ ในวันนี้ยังไม่มีความกระตือรือร้นใดๆ จากผู้บริหารในบ้านเมืองที่จะผลักดันให้เกิดระบบการชันสูตรพลิกศพในสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างจริงจัง
ระบบการชันสูตรพลิกศพของไทย
ตามกฎหมายได้ระบุให้แพทย์เป็นผู้ร่วมชันสูตรพลิกศพกับเจ้าพนักงานสอบสวนหรือตำรวจ โดยหลักการแล้ว แพทย์ต้องออกชันสูตรพลิกศพในที่เกิดเหตุเพื่อให้เห็นสภาพของที่เกิดเหตุ ร่วมในการค้นหาสาเหตุและรวบรวมพยานในที่เกิดเหตุ อันจะทำให้สามารถวิเคราะห์สาเหตุการตายได้ชัดเจนมากกว่าการเห็นเฉพาะศพที่นำมาที่โรงพยาบาล โดยไม่เห็นจุดเกิดเหตุ
โดยทฤษฎีแล้วการฆ่าหรือการตายผิดธรรมชาตินั้น หากมีการสอบสวนหรือการชันสูตรเต็มรูปแบบจะสามารถวิเคราะห์รูปแบบได้ว่า เสียชีวิตหรือการทำลายศพนั้นเป็นการฝึกมาจากกลุ่มใดหรือฝ่ายใด เช่น ลักษณะการยิง การต่อวงจรสำหรับระเบิด ลักษณะการตัดคอหรือเผาทำลายศพ ซึ่งจะทำให้พอที่จะสามารถแบ่งกลุ่มการกระทำได้ว่า กลุ่มติดอาวุธนั้นๆ มีพื้นที่ปฏิบัติการในพื้นที่ใดบ้าง ทำให้สามารถจำกัดวงในการติดตามได้ง่ายขึ้น
อีกทั้งกรณีของหัวกระสุนก็เป็นเหมือนกับ DNA ของมนุษย์ คือ ปืนทุกกระบอกจะมีลายของหัวกระสุนที่แตกต่างกัน หากสามารถเก็บหัวกระสุนมาได้นำมาเปรียบเทียบกันก็จะทราบว่าเป็นเหตุจากปืนกระบอกเดียวกันหรือไม่ แต่ด้วยข้อจำกัดในการชันสูตรพลิกศพทั้งในแง่ของบริบทมุสลิมที่มักไม่อนุญาตให้มีการชันสูตรเต็มรูปแบบ รวมทั้งปัญหาในระบบการชันสูตรพลิกศพของภาครัฐเองที่ฝากไว้กับแพทย์ในโรงพยาบาลซึ่งไม่มีทักษะในการผ่าพิสูจน์ศพดังเช่นแพทย์นิติเวช จึงทำให้การเก็บหลักฐานหรือการรวบรวมหลักฐานจากการชันสูตรพลิกศพนั้นยังมีปัญหาอยู่มาก
ปัจจุบันบทบาทของแพทย์ในโรงพยาบาลต่างๆ นั้นทำการชันสูตรพลิกศพเพื่อการตรวจบาดแผลภายนอกเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอกับการอำนวยความยุติธรรมและการพิสูจน์หาความจริงจากสถานการณ์ความไม่สงบ
การชันสูตรศพภายนอกโรงพยาบาล ณ จุดเกิดเหตุนั้น วัตถุประสงค์สำคัญเพื่อให้แพทย์เห็นสภาพทั่วไปของพื้นที่ ร่วมรวบรวมหลักฐานและดูพฤติกรรมการตาย แต่อย่างไรก็ตามในสถานการณ์ไม่สงบนี้ การชันสูตรศพในพื้นที่นั้นไม่สามารถทำได้ละเอียดมากนัก และเพื่อการผดุงความยุติธรรมก็ควรนำมาชันสูตรศพให้ละเอียดมากขึ้นในโรงพยาบาลด้วยเสมอ รวมทั้งจะได้แต่งศพก่อนส่งมอบกับญาติผู้เสียชีวิตเพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนาต่อไป
ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนใต้ และความไม่ปลอดภัยในการออกพื้นที่ไปชันสูตรศพนั้น ทำให้กระทรวงสาธารณสุขได้แจ้งแนวปฏิบัติมาว่า "ไม่จำเป็นที่แพทย์ต้องออกชันสูตรศพตามที่กฎหมาย" แต่ในความเป็นจริงในหลายกรณีก็ยากที่แพทย์จะปฏิเสธได้เมื่อได้รับการร้องขอจากเจ้าหน้าที่ปกครองและทางตำรวจ
แพทย์กับความเสี่ยงในการชันสูตรพลิกศพ
เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบบ่อยครั้งที่การออกไปชันสูตรในพื้นที่มักไม่มีความปลอดภัย เช่น กรณีที่ศพถูกยิงเสียชีวิตในพื้นที่ ในหลายกรณีมักมีการวาง Second bomb หรือการวางระเบิดลูกที่ 2 เพื่อทำร้ายทีมเจ้าหน้าที่ที่เข้าไป ณ จุดเกิดเหตุ ซึ่งพบว่าบ่อยครั้งที่การเคลียพื้นที่โดยทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายตำรวจ ทหาร ยังทำได้ไม่ดีพอและบ่อยครั้งที่แพทย์ต้องเป็นผู้พลิกศพด้วยตนเอง ซึ่งมีความเสี่ยงสูงมากหากมีการวางระเบิดลูกที่ 2 ไว้ใต้กับศพหรือใต้ศพ ในปัจจุบันยังโชคดีว่าไม่มีแพทย์ผู้ใดที่ประสบเหตุโดยตรง
บทเรียนจากโรงพยาบาลกะพ้อ จังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2547 ซึ่งมีเหตุผู้ก่อความไม่สงบ บุกยิงถล่มสถานีตำรวจและที่ว่าการอำเภอกะพ้อ จนทำให้มีเจ้าหน้าที่เสียชีวิตที่ห้องฟังวิทยุ โดยทางโรงพยาบาลได้รับการตามให้ไปช่วยชันสูตรเวลาประมาณ 05.00 น. ตำรวจยืนยันว่าต้องการให้แพทย์ช่วยออกไปชันสูตรศพ ซึ่งเมื่อถึงที่เกิดเหตุ แพทย์ซึ่งไปชันสูตรศพเองพบว่า ไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจตามเข้าไปเลย มีศพ 1 ศพที่เลือดแห้งแล้ว ก็เลยเรียกให้ทหาร ตำรวจมาช่วยพลิกศพ ณ เวลานั้นแพทย์คนนั้นได้เริ่มรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย รุ่งเช้าเวลา 8.00 น. ก็มีระเบิดขึ้นใกล้ๆ กับจุดที่ชันสูตร โดยคนร้ายได้ซุกระเบิดไว้กับต้นไม้หวังจะทำร้ายตำรวจ/ผู้เกี่ยวข้องที่ไปช่วยเหลือผู้เสียชีวิต ชี้ให้เห็นว่า หากตำรวจเคลียร์พื้นที่ไม่ดีพอ มีความเสี่ยงสูงมากที่จะได้รับอันตราย
ในความเป็นจริงแล้ว แม้ว่าทางกระทรวงจะมีคำแนะนำว่า หากไม่ปลอดภัยไม่ต้องไปชันสูตรศพ แต่ในสถานการณ์จริงก็ยากที่จะปฏิเสธได้ทุกกรณี
จากสถานการณ์ในจังหวัดยะลาซึ่ง พ.ต.อ. นภดล เผือกโสภณ ได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบกับระเบิดนั้นนับเป็นการใช้กับระเบิดในการก่อเหตุครั้งแรกๆ จากสถานการณ์ตลอด 3 ปี นับอีกกรณีศึกษาหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นว่ายุทธการของฝ่ายผู้ก่อการนั้นได้เปลี่ยนไปจากการใช้ second bomb มาใช้ "กับระเบิด" ซึ่งสร้างความไม่ปลอดภัยในการเข้าชันสูตรพลิกศพในพื้นที่มากขึ้น
ด้วยความไม่ปลอดภัยในการออกชันสูตรศพในพื้นที่ทำให้โรงพยาบาลต่างๆ มีการปรับตัวด้วยการพูดคุยกับทางพนักงานสอบสวนให้ช่วยนำศพมาชันสูตรในโรงพยาบาล ซึ่งส่วนใหญ่ก็ได้รับการตอบสนองดีพอสมควร อย่างเช่น กรณีของโรงพยาบาลศูนย์ยะลา ก็มีข้อกำหนดในโรงพยาบาลว่า หลังเวลา 18.00 น. จะไม่มีการออกชันสูตรศพนอกโรงพยาบาลเลย ยกเว้นกรณีที่จำเป็นจริงๆ อย่างไรก็ตามความเสี่ยงก็ยังมีอยู่มากเช่น มีกรณีของการยิงร้านชำแล้วมีผู้เสียชีวิตในเขตเทศบาลนครยะลา ก็มีการวางระเบิดลูกที่ 2 เอาไว้ เพื่อเตรียมทำร้ายเจ้าหน้าที่ หรือในกรณีฆ่าตัดคอ ในเขตจังหวัดยะลา ซึ่งมีการนำศีรษะของผู้เคราะห์ร้ายไปไว้อีกที่หนึ่งแล้วมีการกดระเบิดเมื่อตำรวจไปเก็บศีรษะนั้น ทำให้ตำรวจได้รับบาดเจ็บ เป็นต้น
โดยสรุป การออกชันสูตรพลิกศพพื้นที่ ปัจจุบัน มีความเสี่ยงสูงขึ้นเรื่อยๆ ที่บุคลากรทุกวิชาชีพจะได้รับอันตรายจากระเบิดลูกที่ 2 การซุ่มโจมตี หรือการเหยียบกับระเบิด เป็นโจทย์ใหญ่ที่ควรได้รับการพิจารณาวิธีการจัดการกับปัญหานี้อย่างจริงจังก่อนที่จะมีความสูญเสียที่มิอาจเยียวยาได้