http://i.imgur.com/m0cs3Vg.png
ทันทีที่เครื่องบินอินดีโก้แอร์ไลน์ถีบตัวจากรันเวย์ต้นทางเมืองนิวเดลีออกมาลอยลำอยู่กลางอากาศ แสงสีแห่งเมืองเริ่มมืดและหดหายไปในเวิ้งฟ้า ความอลังการอันหรูหราหายไปในชั่วพริบตา ทำราวกับว่า ทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้นที่นี่ เมืองไม่เคยมีอาณาบริเวณอยู่บนแผ่นดินผืนนี้ แสงสีดับมอดราวกับเมืองรกร้างและปราศจากผู้คนมาเนิ่นนาน มองด้านขวาของหน้าต่างมีแต่สีเมฆอันดำทึบ เส้นสีแดงที่เคยฉายมาก่อนหน้านี้ได้จางลงอย่างกะทันหัน แสงท้องฟ้าเริ่มมืด
สีของเมืองเริ่มหม่น แล้วผู้คนในเมืองหล่ะไปอยู่ส่วนไหนของโลกใบนี้ ?
หรือความรุนแรงที่ยังพุ่งขึ้นสูงได้พรากเพื่อนมนุษย์ให้ล้มหายตายจากไป ?
เราได้แต่สำนึกทันทีว่า “ทุกอย่างย่อมสลายไป อาจเพียงชั่วพริบตาโดยไม่ขึ้นอยู่กับเจตจำนงแห่งเรา”
ไม่มีอาณาเขต ไม่มีประเทศ ไม่มีเส้นแบ่งเขา-เรา
ไม่ม่ความต่างของเธอ-ฉัน
ไม่มีอาณาบริเวณอาณาจักรแห่งการครอบครองที่ชัดเจน
เพราะเราต่างอยู่ในโลกแห่งความเป็นพลวัต และมนุษยชาติ ใต้เวิ้งฟ้าและอาณาจักรของพระเจ้า
กระทั่ง สีเส้นที่เคยปะลวดลายให้ริ้วฟ้าสวยงามไม่ปรากฏให้เห็นอีกต่อไป
เด็กน้อยที่เติบโตมากับเสียงร่ำไห้ก็หมดพลังในการขับกล่อมบทเพลงให้กับผู้เป็นบิดามารดาได้ฟังยามค่ำคืน
เสียงของเด็กน้อยมันช่างเป็นบทเพลงแห่งความหวัง ความสุขและบ่งบอกถึงการมีอยู่ของชีวิตที่เต็มไปด้วยเป้าหมายและจิตวิญญาณแห่งความรับผิดชอบของผู้กล่อมยามหิวง่วงของเด็กน้อย
แต่ก็อีกนั่นแหละ
ความหลงลืม บางทีเราอาจมองข้ามคนตัวเล็ก ๆ ในสังคมอีกร้อยพัน แม้กระทั่งเราอาจหลงลืมตัวเราเอง
บางทีเราทำให้คนรอบข้างเป็น “สินค้ามือสอง” ที่เราต่างตีค่ากันและกัน เราภูมิใจกับอำนาจและบารมีที่มีแต่ผู้คนสรรเสริญเยินยอเราอย่างออกนอกหน้า เราอาจมองความสมบูรณ์ด้วยการได้ทุกอย่างมาครบองค์ประกอบ
น้อยนักที่เราจะมองถึงความสมบูรณ์ที่กำลังเดินเข้ามาสู่เราด้วยการสร้างให้เรากลายเป็นหนึ่งใน “นักประดิษฐ์ ผู้ปรุงแต่งและนายช่างมัดย้อม” ด้วยมือของเราเอง
กระทั่ง เรากลับทิ้งให้สิ่งไม่สมประกอบตกอยู่ริมขอบทางเดินย่านถนนลูกรังและเส้นทางถนนหลวง
เราปริยิ้มจนล้นเบ้าแก้มเพียงเพื่อเราได้ครอบครองและเป็นเจ้าของบางสิ่งบางอย่างที่เปลี่ยนมือไปเรื่อย ๆ เราผินหน้าหนีความรับผิดชอบ เมื่อเราต้องเป็นนายช่างที่ซ่อมและปะชุน
กระทั่งเราลืมไปว่า “เรายื้อแย่งหญิงชราที่ตกแต่งเรือนร่างไปด้วยเครื่องประดับอันเปล่งประกาย”
ด้วยประการเหล่านี้ เราได้สั่งสมกองกำลังแห่งความอยาก ราคะแห่งการครอบครอง และเชื้อโรคแห่งความโลภไว้ในอัตตาแห่งเรา กระทั่งสิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็น “บาดแผลสังคม” ที่เราพร้อมใจกันสร้างขึ้นและไม่พร้อมที่จะเยียวยา
อีกนัยหนึ่ง เราพร้อมหยิบยื่นอุ้งมืออันหยาบกร้านและใบหน้าสดสวยอันด้านหนาของเราเพื่อควานคว้าสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าของผู้อื่นอย่างทรงพลัง
ทว่าเรา กลับเชื่องช้าและอิดโรยเมื่อเราต้องควักบางอย่างที่เรามีออกมาให้กับผู้คนรอบข้าง ขณะเรายังอ่านพระคัมภีร์ที่เราต่างเอื้อนเอ๋ยมันออกมาพร้อมหน้าตาอันปริยิ้ม
“พวกท่านจะไม่บรรลุในความศรัทธาอันสูงส่งหรอก หากพวกท่านยังมิได้บริจาคในสิ่งที่พวกท่านรัก”
ปัจจัยทั้งหมด เราจึงสนุกกับการครอบครอง เป็นเจ้าของผ่านคำพูดที่ว่า “ของกู ตัวกู” ทั้งที่เราต่างเชื่อในแบบเดียวกันว่า “มือบนนั้นย่อมประเสริฐและมีเกียรติกว่ามือล่าง”
กระนั้น มือที่เรายื่นออกมาในสังคมที่เราอยู่ด้วยกันเรากลับกลายเป็น “มือล่าง” เสียอย่างน่าตกใจ
แม้เราต่างรู้ดีว่า สิ่งเหล่านั้นมันกำลังจะเปลี่ยนผ่านเจ้าของผ่านความตายหรืออาการเจ็บป่วยที่คอยฟาดเราโดยไม่ทันตั้งตัว
บางทีมันอาจเตือนเราผ่านหลุมศพของพ่อแม่ที่เราต่างลืมกลับไปเยี่ยม
สุสานพี่น้องที่รกร้าง สิ่งเหล่านั้นคือ“การผลิตซ้ำสัญญาณเตือน”
ในห้วงยามที่เราขลุกกับความอิ่มหนำและความสัมบูรณ์ในการใช้ชีวิต ความสนุกทำให้เราลืมความยากลำบากของเพื่อนร่วมโลก ความอิ่มหนำทำให้เราไม่เข้าใจชีวิตของคนตัวเล็กกว่า ความสัมบูรณ์ทำให้เราขาดหายสำนึกแห่งการหยิบยื่น เกียรติและอำนาจฉุดให้เรากล้าจะทุ่มเททุกอย่างจนลืมตัวเอง
เราลืมยิ้มกับดอกใบและกิ่งก้านที่มันแตกออกมาให้เห็น ทว่าเรากลับภูมิใจกับรากที่มันฝังลึกอยู่ใต้ผืนดิน
กระทั่งเราขาดสำนึกไปว่า บางจังหวะของช่วงแห่งการเติบโต รากสำคัญน้อยกว่าดอกใบและกิ่งก้าน แม้รากเป็นเส้นใยแห่งการหล่อเลี้ยง ทว่ากิ่งก้านและดอกใบมันคือเครื่องฉายซ้ำและย้ำเตือนเพื่อการบ่งบอกถึงความสมบูรณ์แห่งราก กว่าเราจะเข้าใจว่า ไม้ต้นนี้เป็นพันธุ์ไม้ชนิดไหน กิ่งก้านและดอกใบคือ “แว่นขยายอันทรงพลัง”
เพราะเราเป็นแบบที่เป็น เราจึงชาชินกับวัฒนธรรมเดิม ๆ ที่เคยมองการหยั่งรากลึกเป็นสาระสำคัญแต่เพียงถ่ายเดียว มันจึงทำให้เราศรัทธาว่า “รากเท่านั้นที่ทรงพลังในการผลิตเกสร ลำต้น กิ่งก้าน ใบ กระทั่ง ดอกและผล”
ด้วยประการเหล่านี้ เราลืมที่จะสวมแว่นขยายอีกมุมหนึ่งว่า “ดอกและใบแห่งความเป็นอิสลามที่จะงอกเงยออกมาเล่าจะอยู่ในลักษณาการและรูปร่างแบบใด ? ”
เครื่องบินเริ่มพุ่งกระแทกรันเวย์ครั้งสุดท้ายที่เมืองหลวงของประเทศไทย
ผมได้แต่นั่งสบตากับความมืดสงัดของกลางคืนอย่างใจจดใจจ่อ เพราะเมื่อผ่านความมืดที่น่ากลัว อีกไม่นานแสงแห่งอรุณรุ่งจะทอประกายสวยงามมายังขอบฟ้าอย่างน่าอิจฉา
ความเจ็บปวดจากบาดแผลที่เราต่างประสบมาก็ไม่ต่างกัน สหาย !!!
ป.ล. ขอโทษมิตรสหายที่กระผม หายไปนาน เพราะวุ่นกับการเรียนต่อ
ด้วยความหวังและมิตรภาพ ผ่านแป้นพิมพ์
ผู้พันอัฟกานี-อับดุรเราะฮหมาน มูเก็ม
บนเครื่องบิน ในห้วงถีบตัวขึ้นสู่น่านฟ้า
ณ กรุงนิวเดลี