Mfahmee Talib
ความจริงประการสำคัญก่อนที่ผมจะเริ่มเขียนอธิบายเรื่องของโลกใบนี้ ผู้คน และวัคซีน ผมอยากให้ทราบก่อนว่าโลกและวัคซีนต่างเป็นคนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน เมื่อมนุษยชาติรวมตัวสร้างสังคมได้ในหลายหมื่นหลายพันปีแรกของประวัติศาสตร์ เราไม่เคยใช้วัคซีนในการสร้างระเบียบโลกด้วยกัน เราเพิ่งจะมีวัคซีนครั้งแรกในเวลาประมาณ 220 กว่าปี ดังนั้นมากกว่า 99.9% ของช่วงเวลาที่โลกเริ่มมีประวัติศาสตร์ โลกเราไม่เคยมีวัคซีน คำถามที่ควรถามต่อคือ โลกและโรคในยุคที่ไม่มีวัคซีนนั้นเป็นอย่างไร
เพื่อให้เห็นที่มาที่ไปของการพัฒนาวัคซีน หากไม่เริ่มทำความเข้าใจตั้งแต่จุดนี้ อาจจะไม่นำพาให้เราก้าวสู่คำถามสำคัญที่ว่า แล้วทำไมโลกต้องมีวัคซีน และ วัคซีนเปลี่ยนแปลงโลกอย่างไร
วัคซีนคืออะไร?
ก่อนจะไปเล่าเรื่องวัคซีน ก็ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า วัคซีนคืออะไร
ผมต้องชักแม่น้ำทั้งห้าอีกครั้งเพื่ออธิบายเรื่อง ระบบภูมิคุ้มกันในตัวเราเสียก่อน แล้วเราจะอ๋อตอนที่ผมเล่าเรื่องวัคซีน ไม่อย่างนั้นก็จะเอ๋อรับประทานกัน
ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายมนุษย์นั้นทำงานด้วยตัวจักรทำงานที่สำคัญคือ เม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดขาวก็มีรายละเอียดและความยุ่งยากของมันนะ แต่ขอข้ามไปเลย เอาสั้นว่าเม็ดเลือดขาวมีหลายแบบ เมื่อดูคร่าวๆง่ายๆ เลยแบ่งกลุ่มเม็ดเลือดขาวที่ทำงานด้านการสร้างภูมิคุ้มกันได้ 2 แบบ คือแบบทั่วไปไม่จำเพาะ (Innate immune) กับ แบบเฉพาะเจาะจง (Acquired immunity)
ระบบภูมิคุ้มกันแบบทั่วไปคือพวกที่ทำงานแบบจับคนแปลกหน้าหมด ใครเข้ามาในร่างกายแล้วไม่คุ้นหน้า ก็ฆ่าๆๆๆๆฟันๆๆๆๆ ให้มันหายตายไปหมดเกลี้ยง (ระบบนี้ยังรวมถึงส่วนที่ไม่ใช่เม็ดเลือดขาวเช่น ขนอ่อนในรูจมูก ผิวหนังของเรา ต่อมเหงื่อ เป็นต้นด้วย)
ส่วนภูมิคุ้มกันแบบเฉพาะเจาะจงคือเป็นพวกทีมสอบสวน ถ้ามีเชื้อแปลกปลอมเข้ามาในร่างกายครั้งแรก มันอาจทำท่าว่าสยบยอม ค่อยๆเข้าไปคุย เก็บข้อมูลเอาไว้ บางทีก็อาจจะยอมให้เชื้อได้ทำงานบ้างนิดหน่อย แล้วมันจะแจ้งเตือนร่างกายให้รีบตอบสนองด้วยการทำให้ตัวร้อนขึ้น จะได้มีสภาพไม่เหมาะกับเชื้อ อาจมีน้ำหูน้ำตาไหล อุจจาระร่วงบ้าง เพื่อเอาเชื้อออกและไม่ให้เชื้อเข้าเพิ่ม แต่ถ้าเชื้อเข้ามาครั้งต่อไปละก็ หน่วยสอบสวนนี้จะส่งข้อมูลไปให้ทีมปราบปรามเข้าไปทำลายเชื้อโรคสิ่งแปลกปลอมทันทีทันใดเลย เชื้อเลยอยู่ในร่างคนไม่ได้ แพร่ต่อก็ไม่ได้ สุดท้ายก็ตายหายไป การจดจำและทำลายเชื้อโรคแบบเฉพาะเจาะจงนี้แหละที่จะเป็นประเด็นสำคัญที่เราจะพูดกันในเรื่องวัคซีน เพราะวัคซีนมันเกี่ยวข้องในส่วนนี้
ในคนปกติ เราจะมีการสร้างภูมิคุ้มกันทั้งสองประเภทนี้อยู่แล้ว ตอนอยู่ในท้องเด็กจะได้รับการถ่ายทอดพันธุกรรมในการสร้างเม็ดเลือดขาวจากพ่อแม่ และแม่ก็จะถ่ายทอดภูมิคุ้มกันทั้งแบบเฉพาะเจาะจงที่แม่สร้างมาก่อนแล้วให้ลูกไปด้วย ตอนลูกกินนมแม่ แม่ก็ถ่ายทอดของดีๆพวกนี้อีกครั้ง ลูกเด็กเล็กแดงตัวเล็กๆที่ผูกพันธ์กับแม่มากๆ จึงมีโอกาสมีภูมิคุ้มกันที่ดีตามขุ่นแม่ คำถามต่อมาคือ แค่ภูมิคุ้มกันที่แม่ให้ กับที่ตัวเราตอนเด็กๆสร้างกันมาเอง เพียงพอต่อการดำเนินชีวิตของเราในฐานะมนุษยชาติหรือไม่ (เก็บไว้ก่อน เดี๋ยวตอบตอนหน้านะครับ)
คราวนี้มาเล่าเรื่องวัคซีนต่อ วัคซีนมีสามแบบ คือวัคซีนเชื้อตาย วัคซีนเชื้อเป็น และ toxoid ทั้งสามแบบมันแตกต่างที่สภาพของเชื้อที่จะเอาเข้าสู่ร่างกาย แต่หลักการใหญ่ๆที่มันทำงานก็คล้ายๆกัน คือ การสร้างภูมิคุ้มกันแบบเฉพาะเจาะจงให้
วัคซีนนี่โดยหลักการแล้วมันคือเชื้อโรคนี่แหละ บางคนก็เรียกว่าสิ่งแปลกปลอม (Antigen) แต่มันเป็นส่วนของเชื้อที่ไม่สามารถก่อโรคในคนปกติที่แข็งแรงได้ คราวนี้พอร่างกายมนุษย์รับมันเข้ามาครั้งแรกร่างกายจะตอบสนองโดยการสร้างระบบภูมิคุ้มกันแบบเฉพาะเจาะจง เพื่อให้ร่างกายเรานี่แหละจดจำตัวเชื้อนี้ได้ ถ้าเชื้อโรคตัวจริงเสียงจริงที่แข็งแรงกว่าเชื้ออ่อนๆหรือเชื้อตายแล้วในวัคซีนแต่เป็นชนิดเดียวกัน มันมาครั้งต่อไป ก็จะส่งระบบภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะเจาะจงที่ถูกสร้างแล้วเข้าไปทำลายทันที การส่งเชื้ออ่อนหรือเชื้อตายเข้าไปโดยไม่รอให้เราได้รับเชื้อจากธรรมชาติ นี่คือกระบวนการหนึ่งที่เราไปพยายามเอาชนะโรคที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เพราะถ้ารอให้เกิดกระบวนการสร้าภูมิคุ้มกันจากธรรมชาติ โรคที่สามารถติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนบางโรค หากได้รับเชื้อเป็นๆทีแข็งแรงตั้งแต่ครั้งแรก ร่างกายมนุษย์อาจจะอ่อนแอเกินกว่าจะรับมือกับมันได้ และจบลงด้วยความพิการหรือความตาย ซึ่งไอที่พิการหรือตายคนเดียวไม่เท่าไหร่ แต่ในประวัติศาสตร์เราผ่านโรคประเภทที่ถ่ายทอดกันได้ แล้วตายกันนับหมื่นถึงหลักล้านคนมาหลายโรคแล้ว จึงต้องมาผลิตเป็นวัคซีนเพื่อป้องกันการตายแบบแพร่ระบาดแบบนี้ไงครับ
ตอนหน้า จะเล่าให้ฟัง และเข้าประเด็นกันว่า โลกในยุคที่ยังไม่มีวัคซีน เกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้ว หลังยุควัคซีนมีอะไรเปลี่ยนแปลงไป และจะมาทำความเข้าใจกับสังคมที่มนุษย์มีภูมิคุ้มกันกับสังคมที่มนุษย์ไม่มีภูมิคุ้มกันต่างกันอย่างไร รออ่านกันต่อไปนะครับ