Skip to main content

 

แนะนำ ภาพยนตร์ “Perempuan berkalung sorban” Woman with Turban
                                                                                                                                             รอฮานี จือนารา
                ภาพยนตร์จากอินโดนีเซีย “Perempuan berkalong sorban” “Woman with Turban ซึ่งแปลว่า “ผู้หญิงโพกเซอรบัน” ฟังแล้วอาจดู “พิลึก” เนื่องจากคำว่า”เซอรบัน” เป็นเครื่องแต่งกายของชายมุสลิมที่ใช้โพกหัวซึ่งมันขัดกับผู้หญิง โดยกล่าวถึงการต่อสู้ด้านสิทธิของผู้หญิงซึ่งขัดกับวัฒนธรรมที่เป็นอยู่ ทั้งนี้ผู้สร้างกล้าที่จะกระแทกสังคม และวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นจริงในสังคมอินโดนีเซีย โดยสะท้อนวัฒนธรรมการกดขี่ผู้หญิงผ่านหลักคำสอนและวัฒนธรรมของ “ชายเป็นใหญ่” ที่ผสมผสานจนแยกไม่ออก และทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกต่อต้านจากสถาบันปอเนาะในอินโดนีเซียเพราะเกรงว่า บางเรื่องอาจทำให้ผู้ชมเข้าใจผิดกับหลักศาสนาที่เป็นจริง แต่ทั้งนี้วัฒนธรรม หรือ “สิ่งที่เกิดขึ้นจริง” กับ “หลักศาสนาที่ถูกต้อง” สังคมคงต้องมาดูและพิจารณากันเพื่อศึกษาว่า สภาพการดำเนินชีวิตของผู้คนในสังคมนั้น ได้รับคำสอนที่ถูกต้องกับหลักศาสนาจริงหรือไม่
ภาพยนตร์นี้แสดงนำโดย Revaluna S Temat แสดงเป็น อานีซะห์ เมื่อราวปี ค.ศ. 1980  เธอเติบโตในปอเนาะ สถาบันสอนศาสนาของอินโดนีเซีย พ่อเป็นโต๊ะครู มีพี่น้อง 3 คน มีพี่ชาย เธอเป็นน้องสุดท้อง สมัยเด็กๆ เธอมีภาวะความเป็นผู้นำ มีความสามารถ ชอบเรียนรู้ และขี้สงสัย แต่เธอเติบโตในสังคมของชายเป็นใหญ่ และในระบบปอเนาะที่สั่งสอนให้เข้มแข็งทางด้านจิตวิญญาณ ปิดสื่ออื่น ๆ ที่อาจทำให้จิตวิญญาณสั่นคลอน ห้ามอ่านหนังสือนอกเวลา ความรู้ทั่วไป ความรัก   นิทาน ห้ามไปดูหนัง เพราะถือเป็นสิ่งโกหกมดเท็จ ไม่ส่งเสริมผู้หญิงไปเรียนต่างประเทศโดยลำพังเว้นแต่มีผู้ชายที่สามารถดูแล อย่างเช่น สามี พี่ชายหรือพ่อ เพื่อป้องกันอันตราย
ความเป็นตัวตนของเธอ ที่มีความรู้สึกไม่เท่าเทียม และเห็นว่าผู้หญิงควรมีสิทธิที่เท่าเทียมกับเพศชาย ทำให้เธอมีความคิดต่อต้านและขัดขืนกับคำสอน และวัฒนธรรมที่ดำเนินอยู่มาหลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถพ้นความผิดเหล่านั้นได้ เธออยากขี่ม้าเก่ง แต่พ่อแม่ของเธอก็ห้าม เพราะนั่นเป็นความสามารถของผู้ชายที่ต้องฝึก ซึ่งผู้หญิงไม่สมควร เธอถูกคัดเลือกจากเพื่อน ๆ ให้เป็นหัวหน้าห้องเรียนในขณะที่มีผู้ชายอยู่ด้วย แต่ถูกปฏิเสธจากครู เธอไม่พอใจกลับบ้านร้องไห้ พ่อของเธอโกรธมากที่อานีซะห์ ไม่เข้าใจ เธอเข้าไปดูหนัง แต่ถูกพี่ชายจับได้ และไปบอกพ่อจึงถูกตี เธอได้รับทุนการศึกษาจากต่างประเทศ แต่พ่อของเธอไม่อนุญาต โดยให้เหตุผลว่า ผู้หญิงไม่สมควรไปเรียนในที่ต่างแดน เพราะไม่มีคนดูแล
ปัญหาและอุปสรรคเริ่มปะทุใหญ่ขึ้น เมื่อเธอถูกบังคับให้แต่งงานกับผู้ชายที่พ่อเลือกให้  เธอสับสน และไม่พอใจเป็นอย่างมาก เพราะเธออยากเรียนต่อให้จบ ในขณะคนที่เธอรักกำลังเรียนอยู่ต่างประเทศ แต่ขาดการติดต่อมาหลายเดือน สุดท้ายเธอก็จำยอมแต่งงานกับผู้ชายที่เพียบพร้อมในสายตาของพ่อเธอ ซึ่งมีความรู้ทางด้านศาสนา มีฐานะที่ร่ำรวย ซึ่งเป็นความหวังดีของพ่อที่ส่งลูกให้ถึงรอดฝั่ง
ความหวังของพ่อไม่ได้เป็นอย่างที่คาดฝัน เพราะสามีของเธอชอบเมา กลับมาก็โวยวาย มีพฤติกรรมชำเราทางเพศ และเมื่อต้องการทางเพศก็เรียกหาเธอ ในขณะที่เธอยังไม่พร้อมโดยอ้างว่าถึงเวลาละหมาดบ้าง แต่สามีขืนใจเธอหลายครั้ง โดยอ้างว่า ภรรยาต้องรองรับอารมณ์สามีมิเช่นนั้นบาป ทั้งที่จริงแล้ว ในอัลกุรอานระบุว่า สามีภรรยาจะต้องส่งเสริมบรรยากาศแห่งความรักและมีความเมตตาต่อกัน (30:21) กระทั่งสามีของเธอทนไม่ไหว จึงไปมีภรรยาอีกคน ทำให้เธอต้องการหย่า เพราะไม่มีความสุขกับชีวิตครอบครัว ไม่มีความเข้าใจกันและกัน อีกทั้งสามีของเธอให้ภรรยาอีกคนไปอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน ทำให้เธอเจ็บช้ำ ปวดร้าว เธอจึงอยากให้สามีหย่า แต่ก็ถูกสั่งห้ามจากครอบครัวของทั้งสองฝ่าย ทั้งนี้เนื่องจากสิ่งที่อัลลอฮเกลียดที่ คือ การหย่าร้าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นฝ่ายหญิงสามารถร้องเรียนไปที่ศาลได้
 ชีวิตครอบครัวที่ไม่มีความสงบได้จบลง... เมื่อชีวิตเธอต้องเผชิญกับสิ่งเลวร้ายที่สุดในชีวิต เธอเริ่มสับสนมากขึ้น เมื่อชายที่เธอรักกลับมาจากต่างประเทศ และเขียนจดหมายบอกขอโทษที่ไม่ตอบจดหมาย และสารภาพว่า ยังรักเธอเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง พวกเขาได้นัดเจอที่กระท่อมแห่งหนึ่ง แต่สามีของเธอไปแอบอ่านจดหมายจึงเรียกผู้คนในปอเนาะพาไปดูทั้งคู่ ในขณะนั้นเธอมีความสับสน เธอถอดผ้าคลุม และอยากให้คนรักเข้าใจและรับรู้ว่าที่ผ่านมาเธอเจออะไรมาบ้าง เธอต้องการความรักมาก ๆ เธอพร้อมจะมอบร่างกายให้คนรัก ซึ่งทำให้ฝ่ายชายตกใจมาก ๆ พอดีกับสามีและคนอื่น ๆ มาถึงสามีของเธอลากทั้งคู่ออกมา และบอกว่า ทั้งคู่ “ซีนา” มีความผิดประเวณี และสามีเสนอว่าให้ปาหินทั้งสอง เหตุการณ์อลหม่านวุ่นวายครั้งนั้น ทำให้แม่ของเธอหยุดยั้งได้ และพูดว่า “ใครที่คิดว่า ตนไม่มีความบาปมาก่อน ก็ปาได้เลย” โดยยื่นหินในขณะตั้งคำถามในวงใหญ่ ทำให้ทุกคนปฏิเสธเช่นเดียวกับพ่อของเธอ และตกใจกระทั่งหัวใจวาย เสียชีวิตในที่สุด
 เธอรู้สึกผิด และอับอายกับการกระทำครั้งนั้นมาก เธอจึงตัดสินใจไปเรียนต่อที่เมืองจาการ์ตา โดยเรียนต่อทางด้านกฎหมาย และทำงานเป็นนักกฎหมาย ช่วยเหลือสตรีที่มีความรุนแรงในครอบครัว เธอเจอเรื่องราวของผู้หญิงที่ถูกกระทำชำเราในครอบครัวหลายกรณี ทำให้เธอนึกถึงเรื่องเก่าๆ ที่พบเจอ เธอมีความคิดเชิงลบว่าผู้ชายแต่งงานเพราะต้องการมีเพศสัมพันธ์เท่านั้น และมักมาก
วันหนึ่งคนรักเก่าของเธอมาขอแต่งงาน เธอก็ปฏิเสธและบอกว่า เหตุที่ผู้ชายแต่งงานก็เพราะต้องการมีเพศสัมพันธ์อย่างเดียว แต่โชคดีที่คนนั้นเข้าใจ เธอ และชี้แจงให้เข้าใจ จนอานีซะห์รับได้กับชีวิตแต่งงาน
ภารกิจอันสำคัญอันหนึ่งที่เธอตั้งใจคือ เปลี่ยนแนวคิดของระบบปอเนาะให้ได้ โดยได้ลักลอบหนังสือต่าง ๆ ให้เด็ก ๆ ในปอเนาะเพื่อได้อ่านและเปิดทัศนคติ แต่ถูกจับได้ จึงมีการค้นหนังสือ และถูกเผาทั้งหมดในที่สุด
ไม่ทันที่ภารกิจของเธอจะสิ้นสุด เธอก็ต้องเจอมรสุมชีวิตที่กระหน่ำซัดอีกครั้ง เมื่อสามีสุดที่รักของเธอก็จากเธอไปโดยถูกลอบฆ่าจากสามีเก่า ในขณะที่เธอมีลูกน้อย ทำให้เธอเสียใจมาก ๆ อย่างไรก็ตาม เธอก็นึกถึงคำพูดของสามีเสมอว่า ฉันจะไม่ไปไหน ยังอยู่เคียงข้างเธอเสมอ และทุกครั้งที่เธอเสียใจ เธอรู้สึกว่า คนที่เธอรัก ทั้งสามีและพ่อ เคียงข้างเธอเสมอ ทำให้เธอถูกยอมรับการทำห้องสมุดในปอเนาะ โดยครั้งหนึ่งเธอได้พูดต่อหน้าทุกคนในปอเนาะว่า  
“เราเป็นผู้หญิงแบบอย่างของสตรีมุสลิม เป็นภรรยาที่ดีของสามีอันเป็นที่รัก เป็นแบบอย่างที่ดีของลูก ๆ   สวรรค์นั้นอยู่ใต้ฝ่าเท้าของมารดา ซึ่งเป็น “ผู้หญิง”  แต่สิ่งหนึ่งที่อย่าลืม  อัลลอฮสร้างมนุษย์ให้มีความอิสรภาพ จงเลือกหนทางสิ่งที่อยากเป็นในหนทางของพระองค์อัลลอฮด้วยอิสระ ด้วยจิตใจที่อิคลาซ (บริสุทธิ์) เพื่ออัลลอฮ หากอัลออฮประสงค์ (อินสาอัลลอฮ) เราจะมีชีวิตที่สงบสุข”