Skip to main content

 

ความเข้าใจทางการเมืองเบื้องต้นในอิสลาม

สรุปบางส่วน จากหนังสือ “ฟิกฮฺ อัล-เดาละฮฺ ฟิลอิสลาม (State in Islam)”

ของ เชค ดร.ยูซุฟ อัล-เกาะเราะฏอวีย์

ศิริวัฒน์ ฮะยีเลาะ แปลและเรียบเรียง

 

ขอบคุณภาพจาก Facebook : Shaykh Yusuf al-Qaradawi

 

วัตถุประสงค์ทางการเมืองในอิสลาม

อิมาม อัล-มาวัรดี ระบุไว้ในหนังสือของท่าน “อัล-อะฮฺกาม อัล-สุลฏอนียะฮฺ (หลักการปกครอง)” โดยกล่าวว่า “การเมืองในอิสลามหมายถึง ฮิรอสุตุดดีน วะสิยาสะตุดดุนยา (การทำให้ศาสนาสูงส่งและการบริหารจัดการกิจการทางโลก)”

          “การเมืองมิได้เป็นสิ่งเลวร้าย มิได้เป็นสิ่งฉ้อฉล การเมืองที่แท้จริงเป็นสิ่งดีงาม เพราะเป็นการบริหารจัดการกิจการต่างๆ ของสรรพสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหมด เป็นการนำพามนุษย์ไปสู่ความดีและออกห่างจากความชั่ว”

            อิมาม อิบนุกอยยิม เห็นว่า “การเมืองเป็นความยุติธรรมของอัลลอฮฺผู้ทรงยิ่งใหญ่และศาสนทูตของพระองค์อย่างแท้จริง”

ท่านนบีมุหัมมัด (ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิวะซัลลัม) เป็นนักการเมืองเช่นเดียวกันกับตำแหน่งศาสนฑูตซึ่งนำพาริสาละฮฺ (สาสน์) อีกทั้งยังเป็นมุร็อบบี (ผู้ชี้นำ),  ครู, กอฎี (ผู้พิพากษา), ผู้นำและอิมามของประชาชาติ

            คอลีฟะฮฺ อัรรอชิดูน (บรรดาคอลีฟะฮฺที่ได้รับทางนำ) ซึ่งสืบช่วงต่อจากท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิวะซัลลัม) เป็นนักการเมืองที่เจริญรอยตามอัสสุนนะฮฺ  ซึ่งบริหารจัดการอย่างยุติธรรม  ปฏิบัติด้วยอิหฺสาน (ความดีที่ยิ่งกว่า) และการเตรียมซึ่งภาวะผู้นำแห่งอิลมฺ (ความรู้) และอีมาน (การศรัทธา)

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน “การเมือง” ทำให้มนุษย์ต้องประสบกับความเจ็บปวดอันเป็นผลมาจากการคอรัปชั่น การใช้กลอุบายทางการเมือง ความเจ้าเล่ห์ นักการเมืองที่คดโกง ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบนักล่าอาณานิคมสมัยอดีต, ผู้ปกครองที่ทรยศ, ผู้นำทรราช และปรัชญาการปกครองแบบแนวคิด “มาเกียเวลลี” (วิธีการไม่สำคัญ  ขอให้บรรลุก็พอ)

กลายเป็นสิ่งปกติไปแล้วในการตีตราและอธิบายการกระทำของมุสลิมที่มุ่งมั่น เพื่อให้พวกเขาถูกมองอย่างหวาดระแวงสงสัยและในทางเสียหาย โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้มีการแยกห่างและทำให้ประชาชนหนีห่างจากพวกเขามากยิ่งขึ้น  และมีเจตนามิให้เอ่ยถึงและรังเกียจสิ่งที่เรียกว่า Political Islam (อิสลามการเมือง) ด้วยเหตุนี้เองสัญลักษณ์ต่างๆ ที่บ่งชี้ถึงอิสลาม เช่น ฮิญาบ  การแต่งกายอย่างสำรวมตลอดจนการละหมาดร่วมกัน ได้มีความพยายามที่จะระบุว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของ “การเมือง”

นับเป็นโกหกมดเท็จอย่างร้ายกาจ สำหรับผู้ที่กล่าวว่า ไม่มีศาสนาในการเมืองและไม่มีการเมืองในศาสนา ครั้งหนึ่งได้มีความพยายามที่จะนำอุบายนี้ไปใช้ในรูปแบบข้อฟัตวา (ข้อชี้ขาดทางศาสนา)  ในช่วงที่สมาชิกของอัล-อิควาน อัล-มุสลิมูน ถูกคุมขังในคุกอียิปต์ ระหว่างปี 1950-1960  ซึ่งผู้ปกครองต้องการมีอิทธิพลเหนือมวลชนและได้ยัดเยียดข้อหาแก่นักเคลื่อนไหวหรือดาอีย์ ว่าเป็นผู้นำความเสื่อมเสีย โดยผ่านอุลามาอฺ (ผู้รู้) ที่ขายศาสนา 

 

การต่อต้านความชั่ว และทรราช คือระดับสูงสุดของการญิฮาด

จากความเข้าใจผ่านแนวทางการปฏิบัติของท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิวะซัลลัม อาจสรุปได้ว่า  มุงกัร (การละเมิด,การฝ่าฝืน)  มิได้จำกัดแค่เพียง “ค็อมร์ (สิ่งมึนเมา, การพนัน)” แต่ยังหมายถึงการล่วงละเมิดและการทำลายเกียรติยศศักดิ์ศรีของประชาชน  และนับเป็นการฝ่าฝืนซึ่งเป็นบาปใหญ่เช่นเดียวกับการโกงการเลือกตั้ง การปฏิเสธที่จะให้มีพยาน  การปฏิเสธการลงคะแนน การปล่อยให้รัฐบาลอยู่ในมือของกลุ่มบุคคลที่ขาดความเหมาะสมและไม่เป็นที่ต้องการ  มีการยักยอกและใช้จ่ายทรัพย์สินของชาติอย่างสุรุ่ยสุร่าย การผูกขาดความต้องการของประชาชนเพื่อประโยชน์ส่วนบุคคลหรือเครือญาติ  มีการกักขังหน่วงเหนี่ยวผู้คนโดยที่ไม่มีความผิดหรือสาเหตุอันใด และไม่มีการตัดสินจากศาลที่มีความยุติธรรม การทรมานชีวิตผู้คนในคุกและที่กักขัง การยอมรับการติดสินบน การสยบยอมและยกย่องผู้ปกครองที่ชั่วร้าย การปล่อยให้ศัตรูของอัลลอฮฺและศัตรูของประชาชาติเป็นผู้นำและรังเกียจผู้ศรัทธา ทั้งหมดนี้เป็นการฝ่าฝืนที่ฝังรากหยั่งลึก

หากมุสลิมยังคงนิ่งเฉยเมื่อเห็นปรากฎการณ์เหล่านี้ นั่นหมายความว่าเขาหรือเธอได้ตายไปแล้ว หากพิจารณาผ่านความเข้าใจจากอายะฮฺและอัลหะดีษ

อิสลามเรียกร้องมุสลิมทุกคนให้มีความรับผิดชอบทางการเมือง มุสลิมถูกเรียกร้องด้วยอีมาน(ความศรัทธา) ของเขา ให้เป็นห่วงเป็นใยอย่างจริงจังในกิจการและปัญหาของอุมมะฮฺ ช่วยเหลือและปกป้องความหัวอ่อนและความอ่อนแอต่อสู้กับทรราชและการกดขี่ข่มเหงและการปลีกตัวออกจากสังคมและไม่ยุ่งเกี่ยวใดๆ ที่จะเป็นการนำมาซึ่งการลงโทษและการเผาไหม้จากไฟนรก (ความเข้าใจจากอายะฮฺ)

 

เสรีภาพทางการเมืองที่แท้จริงคือความจำเป็นอันเร่งด่วน

อิสลามเป็นศาสนาของการตื่นตัว สาสน์ของอิสลามนั้นเผยแผ่จากที่หนึ่งไปยังอีกทีหนึ่ง การลุกขึ้นมาของอิสลาม และเสียงกังวานเรียกร้องย่อมได้ยินกันทุกคน แม้ว่าจะถูกจำกัดเสรีภาพเพียงใดก็ตาม ดังนั้นสมรภูมิแรกของการต่อสู้คือ การให้ได้มาซึ่งเสรีภาพในการเผยแผ่ ริสาละฮฺ (สาสน์) แห่งการดะอฺวะฮฺ (การเผยแผ่) ริสาละฮฺแห่งเตาฮีด (ความเป็นหนึ่งของอัลลอฮฺ)  ขยายจิตสำนึกและการทำให้ขบวนการเคลื่อนไหวอิสลามดำรงอยู่ได้

ประชาธิปไตยที่แท้จริงมิใช่ความคิดเพ้อฝันและความปรารถนาของผู้ปกครองทรราชหรือหมู่เครือญาติไม่ใช่พื้นที่ในการกักขังและควบคุมผู้ที่ต่อต้านพวกเขาและไม่ใช่พื้นที่ทรมานฝ่ายตรงกันข้ามกับพวกเขา

ประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดและเป็นแนวทางที่เหมาะสมในการได้มาซึ่งเป้าหมายของชีวิตอันมีเกียรติ เป็นช่องทางที่ทำให้สามารถเชื้อเชิญผู้คนมายังอัลลอฮฺและอิสลาม  ทำให้สามารถเรียกร้องผู้อื่นไปสู่อีมาน โดยที่จิตวิญญาณของเราไม่ต้องถูกกักขังหรือร่างกายของเราต้องถูกพิพากษาประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ มันเป็นพื้นที่เสรีและมีเกียรติของประชาชาติ เพื่อให้มีสิทธิเสรีภาพในการเลือกและตรวจสอบผู้ปกครองหรือเปลี่ยนแปลงรัฐบาลโดยปราศจากการรัฐประหารและการนองเลือด

ทฤษฎีหรือแนวทาง ตลอดจนระบอบต่างๆ ที่ดูเหมือนแปลกแยก อาจนำปรับมาใช้หากว่าเป็นประโยชน์ต่อเรา ตราบเท่าที่มันไม่ขัดแย้งกับกฎเกณฑ์ชะรีอะฮฺและบทบัญญัติอิสลามที่ชัดเจน

เราสามารถนำมาประเมินปรับแก้ไขให้สอดคล้องกับจิตวิญญาณของเรา เราไม่สามารถรับปรัชญาของมัน และเราไม่ยินยอมให้มีสิ่งต้องห้ามและความชั่วร้าย เราจะไม่ยอมสละหรือประนีประนอมสิ่งเหล่านี้กับบทบัญญัติหรือสิ่งวาญิบในอิสลาม

ประเด็นสำคัญของประชาธิปไตยคือ “สาธารณชน” ประชาชนต้องสามารถเลือกผู้ปกครองซึ่งจะปกครองและดูแลพวกเขา ประชาชนต้องมีสิทธิ์เลือก วิพากษ์วิจารณ์และตัดสิน ประชาชนต้องไม่ได้ถูกบังคับให้ยอมรับระบบ แนวโน้ม และนโยบายที่พวกเขาไม่เข้าใจ และพวกเขาไม่ต้องถูกหมิ่นประมาท พวกเขามีสิทธิเสรีภาพในการจัดการเลือกตั้ง ลงประชามติ การคุ้มครองสิทธิ์ของคนส่วนใหญ่ ปกป้องสิทธิ์ของส่วนน้อย มีฝ่ายค้าน มีพรรคการเมืองที่หลากหลาย มีเสรีภาพในการแสดงความเห็น ปกป้องความเป็นอิสระของศาลในการตัดสิน

และที่สำคัญจะต้องเป็นการเชิดชูและปกป้องหลักการพื้นฐานของอิสลามอย่างมั่นคง ไม่ว่าจะเป็นบทบัญญัติที่ชัดเจน กฎเกณฑ์ (ทั้งก็อตอียฺและเฎาะรูรียฺ) แก่นของศาสนาจะต้องไม่ถูกทอดทิ้งหรือถูกเพิกเฉย

 

การชูรอ

การชูรอหรือกระบวนการตัดสินใจโดยการปรึกษาหารือต้องได้รับการทำตามและไม่ใช่องค์ประกอบที่นำมาเฉพาะการถกเถียงเท่านั้น การชูรอนั้นใกล้เคียงกว่าหรือดีกว่าจิตวิญญาณของประชาธิปไตยเป็นการค้นพบอัญมณีที่สูญหายไป เป็นวิทยปัญญา (ฮิกมะฮฺ) ที่ได้รับการนำกลับมาใช้อีกครั้งหนึ่ง

 

“ชูรอ” ทำให้การปรึกษาหารือได้รับการปฏิบัติ นำมาซึ่งมุมมองและความคิดเห็น กลายมาเป็นความรับผิดชอบของประชาชนในการแนะนำตักเตือนและให้การปรึกษาแก่รัฐบาล (อัดดีนนุน-นะศีหะฮฺ) เป็นการส่งเสริมความดีและยับยั้งความชั่ว

ส่วนหนึ่งจากหน้าที่ในการส่งเสริมความดีและยับยั้งความชั่ว ที่นับเป็นการญิฮาดสูงสุดคือ “การพูดความจริงต่อหน้าผู้ปกครองที่อธรรม”

 

สถานะของการเมืองอุมมะฮฺ (ประชาชาติ)

ความหายนะของอุมมะฮฺ (ประชาชาติ) ทั้งก่อนหน้านี้และปัจจุบันคือการขาดหายไปของระบบชูรอ แล้ว รับเอาระบบการปกครองแบบราชวงศ์ที่กดขี่ในยุคสมัยใหม่ บรรดาเผด็จการต่างอยู่ในอำนาจโดยอาศัยกองกำลังติดอาวุธและทองคำ อำนาจและความมั่งคั่ง ชะรีอะฮฺต้องเผชิญกับอุปสรรค มีการบังคับใช้แนวคิดเซคิวลาร์ อารยธรรมตะวันตกถูกนำมาเป็นหลักสำคัญ การดะอฺวะฮฺและการเคลื่อนไหวอิสลามต้องกลายเป็นเหยื่อด้วยการถูกทารุณกรรม การคุมขัง และการไล่ล่าประหัตประหารอย่างโหดร้าย

 

ตัวอย่างผู้ปกรองที่ทรราชในอัลกุรอาน

อัลกุรอานได้ประนามผู้ปกครองที่มีอำนาจล้นเหลือทั้งหมด อาทิเช่น นัมรูด, ฟิรอูน (ฟาโรหฺ), ฮามานและกอรูน, นัมรูด เป็นฏอฆูต เป็นผู้ฝ่าฝืนนำบ่าวของอัลลอฮฺเป็นผู้รับใช้ตนเอง เหล่านี้แบ่งออกเป็นสามฝ่าย คือ

ฟิรอูน: อ้างตัวเป็นพระเจ้า ประพฤติตัวเยี่ยงทรราชและกดขี่ข่มเหงบนหน้าแผ่นดิน นำพาผู้คนไปสู่ทาส 

ฮามาน: นักการเมืองที่ฉลาดแกมโกง มากด้วยประสบการณ์ มีผลประโยชน์แอบแฝงในการรับใช้ฏอฆูต ค้ำจุนและสนับสนุนฟิรอูน หลอกลวงประชาชน ทำให้ประชาชนอยู่ภายใต้การปกครอง

กอรูน: นายทุนหรือศักดินานิยม ซึ่งฉวยโอกาสจากความอยุติธรรมและกฎหมายที่กดขี่ ใช้ทรัพย์สินมหาศาลแด่ผู้นำที่ทรราชเพื่อจะได้กำไรและการตอบแทนคืนในภายหลัง กอรูนมีต้นกำเนิดมาจากตระกูลที่ใกล้ชิดกับนบีมูซา เขาได้สมรู้ร่วมคิดกับฟิรอูน เนื่องจากรักชีวิตทางโลก ร่วมมือกันระหว่างฏอฆูตและทรราชทำให้เกิดความโกลาหลและการพังพินาศของชุมชน ด้วยการทำให้มนุษย์ตกอยู่ภายใต้การปกครองด้วยกองกำลังและความเสื่อมทราม

ประชาชน: อัลกุรอานกล่าวสำทับประชาชนหรือพลเมืองที่ยอมศิโรราบและจงรักภักดีต่อผู้ปกครองที่กดขี่ของพวกเขา ประชาชนที่อยู่ภายใต้การปกครองของฏอฆูตต้องรับผิดอย่างเต็มที่ เนื่องจากทัศนคติพวกเขานั่นเองที่ทำให้เกิดบุคคลอย่างฟิรอูนและฏอฆูต

อัลญูนุด: ผู้สมรู้ร่วมคิด

พวกเขาเหล่านี้คือ กองทัพและกองกำลังภายใต้คำสั่งและการสั่งการของฏอฆูต พวกเขาใช้กำลัง, ความกลัวและการกดขี่เพื่อกำจัดฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยและฝ่ายต่อต้านเผด็จการ 

 

ตัวอย่างความเป็นผู้นำ

บัลกิส ราชินีแห่งซาบาอฺ ตามที่กล่าวในอัลกุรอานนั้นเป็นผู้หญิงซึ่งนำประชาชนของนางได้อย่างดี ปกครองพวกเขาด้วยความยุติธรรม ประกอบกับความเฉลียวฉลาดและความมีวิทยปัญญา นางได้ปกป้องประชาชนของนางจากสงครามที่ก่อความเสียหายและตัดสินใจเรื่องต่างๆ ด้วยการชูรอ (ปรึกษาหารือ)  ท้ายที่สุดเรื่องราวจบลงด้วยการยอมรับในอิสลาม นางนำประชาชนของนางไปสู่ความดีงามทั้งในโลกนี้และโลกหน้า

ผู้นำเช่นนางมากไปด้วยความสามารถและคุณภาพมีความหลักแหลมทางด้านการเมืองและบริหารจัดการอย่างชาญฉลาด มากกว่าผู้นำอาหรับที่เป็นชายส่วนใหญ่ในปัจจุบันเสียอีก

 

พหุนิยมและพรรคการเมืองในอิสลาม

การคงอยู่ของพรรคการเมืองที่มีความหลากหลายหรือขบวนการเคลื่อนไหวต่างๆ มิได้เป็นสิ่งต้องห้าม ตราบใดที่ความเป็นเอกภาพยังมิได้บรรลุผลสำเร็จ อาจเนื่องด้วยความแตกต่างบนจุดมุ่งหมาย, วิธีการ,  ความเข้าใจ, ระดับขั้นของความเชื่อมั่นและความไว้วางใจ, ความหลากหลายและความชำนาญเฉพาะ เป็นสิ่งอนุญาตตราบใดที่พวกเขามิได้ขัดแย้งหรือเผชิญหน้ากัน

อย่างไรก็ตาม ทุกคนจะต้องร่วมเป็นหนึ่งเดียวเมื่อต้องเผชิญกับการท้าทาย ในเรื่องอากีดะฮฺ (หลักยึดมั่นศรัทธา)  ชะรีอะฮฺ  ประชาชาติ และการอยู่รอดของอิสลาม

ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคการเมืองและกลุ่มก้อนต่างๆ ควรเป็นไปในบรรยากาศที่ปราศจากอคติ การให้อภัย  การให้เกียรติ  การปรึกษาหารือในเรื่องสัจธรรมและการยืดหยัด การรู้จักใช้วิทยปัญญา และการถกเถียงที่จริงใจมีเหตุผล 

แม้ในขณะที่รัฐอิสลามได้จัดตั้งขึ้นแล้วก็ตาม ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะต้องวิตกกังวล ในการมีอยู่ของความหลากหลายและความแตกต่าง

 

การปรึกษาและการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาทางการเมือง

การปรึกษาและการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาการเมืองโดยปราศจากหลั่งเลือด เป็นแนวทางที่ดีที่สุด  เป็นผลลัพธ์จากการต่อสู้ที่ยาวนานและเจ็บปวด เป็นการคงไว้ของกำลังทางการเมือง(การต่อสู้ทางการเมือง) โดยรัฐบาลที่ครองอำนาจไม่สามารถสกัดกั้นหรือทำลายได้ นั่นคือการต่อสู้ที่ปรากฏอยู่ในรูปแบบของพรรคการเมือง 

ผู้ปกครองซึ่งอยู่ในอำนาจสามารถกำจัดปัจเจกบุคคลและกลุ่มเล็กๆ ที่เป็นปรปักษ์กับพวกเขาได้  แต่เป็นเรื่องที่ยากเย็นสำหรับพวกเขาที่จะพิชิตหรือขจัดองค์กรที่ใหญ่กว่าซึ่งมีโครงสร้างขนาดใหญ่และมีจัดระเบียบองค์กรและสร้างรากฐานอยู่กับมวลชน พรรคการเมืองย่อมมีนโยบาย เครื่องมือต่างๆ และอาจมีหนังสือพิมพ์หรือวารสาร และการประชาสัมพันธ์ต่อสาธารณชนเช่นเดียวกับอำนาจมวลชน

พรรคการเมืองหรือการเคลื่อนไหวทางการเมืองเป็นสิ่งจำเป็นในการที่จะต่อสู้กับการกดขี่ข่มเหง สามารถที่จะวิพากษ์วิจารณ์  และดึงรัฐบาลกลับไปสู่สัจธรรมและความยุติธรรม  อีกทั้งนำพวกเขาลงมาและเปลี่ยนแปลงรัฐบาล  พรรคการเมืองเป็นเครื่องมือในการควบคุม ประเมินและตรวจสอบรัฐบาล เสนอแนะข้อคิดเห็น และวิพากษ์วิจารณ์การทำงาน 

           

การลงคะแนนเสียง 

การออกเสียงลงคะแนน (การโหวต) ในการเลือกตั้งเป็นรูปแบบหนึ่งของการเป็นพยานที่ถูกต้องตราบใดที่เชื่อว่าไม่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรม ไม่ว่าใครก็ตามที่ลงคะแนนหรืองดเว้นจากการลงคะแนนในการเลือกตั้งทั่วไปจนทำให้ผู้ที่มีความน่าเชื่อถือและสมควรได้รับตำแหน่งต้องพ่ายแพ้และปล่อยให้ ผู้ที่น่าไว้วางใจน้อยกว่าและเหมาะสมน้อยกว่าได้รับชัยชนะ เขากำลังขัดขืนคำสั่งของอัลลอฮฺในประเด็นของการเป็นพยาน

 

 

อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง

“เสรีภาพ” ในมุมมองอิสลาม โดย เชค ดร.ยูสุฟ อัล-เกาะเราะฎอวีย์