Skip to main content

หมายเหตุ : อ.อับดุชชะกูร์ บินชาฟิอีย์ ดินอะ (อับดุลสุโก ดินอะ) เขียนบทความชิ้นนี้ ต่อเนื่องจากบทความ "สถานการณ์การชันสูตรศพจากเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนใต้" ของ นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ซึ่งทางศูนย์เฝ้าระวังเชิงองค์ความรู้สถานการณ์ภาคใต้ได้นำเผยแผ่ไปเมื่อวันที่ 10 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยหวังจะเป็นทางออกให้กับหมอหรือใครก็ตาม ที่ทำงานในพื้นที่ชายแดนใต้ ณ ปัจจุบัน  

         ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตากรุณาเสมอขอความสันติสุขจงมีแด่ศาสดามูฮัมมัดและผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีแด่ผู้อ่านทุกท่าน

การชันสูตรศพของมุสลิมที่เสียชีวิตตามปกติ แน่นอนว่าตามหลักศาสนาอิสลามย่อมทำไม่ได้ เพราะตามหลักศาสนาตั้งบนพื้นฐานการให้เกียรติและคุ้มครองคุณค่าอันสูงส่งของความเป็นมนุษย์

ทั้งนี้ ไม่เพียงแต่ในช่วงแห่งการมีชีวิตอยู่เท่านั้น ในภาวะไร้วิญญาณเหลือแต่เพียงเรือนร่างเปลื่อยเปล่าทีอาจดูไม่งามตานัก ศาสนาอิสลามก็ยังคงถือว่า เกียรติยศและความประเสริฐในการเป็นมนุษย์ยังคงมีอย่างสมบูรณ์

กฎเกณฑ์ต่างๆ ในการปฏิบัติต่อผู้ตาย ไม่ว่าจะป็นการอาบน้ำศพ การห่อ การละหมาดขอพร และการฝังศพ จึงได้บัญญัติขึ้นเป็นหน้าที่ (ฟัรดูกิฟายะฮฺตามหลักศาสนา) ในชุมชนหนึ่งที่ต้องรับผิดชอบร่วมกันในการจัดการศพที่ได้เสียชีวิตตามขั้นตอนที่ได้ระบุไว้ตามหลักนิติศาสตร์อิสลาม 

นอกจากนั้นในการจัดการศพทุกขั้นตอน จะต้องคอยระมัดระวังมิให้กระทบกระเทือนหรือเกิดอันตรายต่อศพ ต้องให้เกียรติต่อศพตามความเหมาะสมภายใต้เจตนารมณ์ของพระเจ้า ดังที่พระองค์ได้ดำรัสความว่า "และเรา (พระเจ้า) ได้ให้พวกเขา (มนุษย์) เลอเลิศเหนือกว่าสรรพสิ่งอันมากมายที่เราได้ดลบันดาลอย่างล้นเหลือ" (อัลกุรอาน : บทอัลอิสรออฺ : ประโยคที่ 70 )

ตามหลักศาสนาต้องรีบจัดการศพและห้ามมิให้เก็บศพไว้นาน เพราะท่านศาสดามุฮัมมัดได้ตรัสว่า "เมื่อมีบุคคลหนื่งเสียชีวิต เจ้าจงอย่าอย่ากักขังศพ ทว่าจงรีบนำศพสู่หลุมฝังศพโดยเร่งด่วน"  (วจนะศาสดามุฮัมมัด : บันทึกโดยอิม่ามอัฏฏอบรอนีย์)

นี่คือหลักการศาสนาเกี่ยวกับการจัดการศพตามปกติ

แต่ในกรณีที่มีความต้องการหรือมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการชันสูตรศพเพื่อพิสูจน์การฆาตกรรม การเปิดโปงความอยุติธรรมเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวม และข้อกังขาของญาติและสังคม อย่างเช่น กรณี 85 ศพในเหตุการณ์ประท้วงที่ อ.ตากใบ หรือเหตุการณ์การเสียชีวิตต่างๆ อันเกี่ยวกับเหตุการณ์ไม่สงบนั้น นักวิชาการอิสลามมีทรรศนะอย่างไร? 

ผู้เขียนมั่นใจว่า จะต้องมีผู้ต้องการรู้อย่างแน่นอนว่า นักวิชาการของโลกอิสลามยุคใหม่จะมีทางออกเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร?

เมื๋อพูดถึงเรื่องนี้ ผู้เขียนเคยเป็นบรรณาธิการวารสารไคโรสาร (ไคโรสารเป็นวารสารที่รวบรวมบทความศาสนาของนักศึกษาไทยในมหาวิทยาลัยอัลอัซฮาร์ ประเทศอียิปต์) ฉบับที่ 35 ประจำปี 2538 มีบทความหนึ่งเขียนโดย อ.เจ๊ะเหล๊าะ แขกพงศ์ เกี่ยวกับเรื่อง "อิสลามกับการชันสูตรศพ" น่าจะเป็นทางออกให้กับญาติผู้เสียชีวิตที่ต้องการพิสูจน์ความจริง, เป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานราชการในการพิจารณาการชันสูตรศพเพื่อค้นหาความจริง และต่อคณะกรรมการอิสลามแห่งปะเทศไทยและจังหวัดต่างๆ ในการออกคำวินิจฉัย (ฟัตวาศัพท์ทางวิชาการศาสนา)

บทความของ อ.เจ๊ะเหล๊าะ แขกพงศ์ มีใจความสำคัญดังต่อไปนี้

ความหมายของการชันสูตรศพ

การชันสูตรศพ หมายถึง การตรวจศพว่าผู้ตายเป็นใคร ตายเพราะเหตุใด พฤติกรรมแห่งการตายเป็นอย่างไรและเมื่อมีความจำเป็นเพื่อพบเหตุของการตาย เจ้าพนักงานผู้ทำการชันสูตรพลิกศพมีอำนาจสั่งให้ผ่าศพและแยกธาตุได้ หรือจะส่งทั้งศพหรือบางส่วนไปยังแพทย์หรือพนักงานแยกธาตุฃองรัฐก็ได้ (ป.วิ.อาญา มาตรา151)

ถ้าฝังศพแล้ว กฎหมายให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานผู้ทำการชันสูตรพลิกศพ จัดให้ขุดศพขึ้นเพื่อตรวจดูได้ เว้นแต่จะเห็นว่าไม่จำเป็นหรือจะเป็นอันตรายแก่อนามัยของประชาชน (ป. วิ. อาญา มาตรา 153 )

หลักฐานจากอัลกุอานและวจนะศาสดาเกี่ยวกับการชันสูตรศพ

จากการศึกษาทั้งคัมภีร์อัลกุอานและวจนะศาสดาเกี่ยวกับการชันสูตรศพ ปรากฏว่าไม่พบหลักฐานใดๆ ที่ระบุชัดเจนถึงการห้ามหรืออนุมัติในการการชันสูตรศพ อีกทั้งยังไม่พบหลักฐานใดๆ ยืนยันแน่ชัดว่า มุสลิมยุคแรกทำการชันสูตรศพเหมือนที่เป็นอยู่ในสมัยปัจจุบัน

ตำราศาสนาของปราชญ์อิสลามในอดีตเกี่ยวกับการชันสูตรศพ

จากการศึกษาทั้งตำราศาสนาของปราชญ์อิสลามในอดีตเกี่ยวกับการชันสูตรศพ ปรากฏว่าไม่พบหลักฐานใดๆ ที่ระบุชัดเจนถึงการห้ามหรืออนุมัติในการการชันสูตรศพแต่ เราจะพบทรรศนะของบรรดานักปราชญ์ด้านนิติศาสตร์อิสลามเกี่ยวกับสองกรณี  

กรณีที่หนึ่ง การผ่าศพหญิงมีครรภ์ (ที่เสียชีวิต) เพื่อเอาทารกที่ยังมีชีวิตอยู่ในครรภ์ออกมาและอีกกรณีหนึ่งคือการผ่าท้องศพเพื่อเอาทรัพย์เงินทองบางอย่าง ที่เขาได้กลืนเข้าไปก่อนตายออกมาคืนแก่ผู้เป็นเจ้าของ

ทัศนะของบรรดาปราชญ์ด้านนิติศาสตร์อิสลามสำนักคิดต่างๆ เกี่ยวการผ่าศพหญิง

- สำนักคิดฮานาฟี -

นักปราชญ์สำนักคิดนี้เช่น อิม่ามอิบนุ อาบิดีน และกลุ่มนักปราชญ์แห่งประเทศอินเดียมีทัศนะว่า ศาสนาอนุโลมเกี่ยวกับทั้งสองกรณีไม่ว่ากรณีที่หนึ่งที่ให้ผ่าท้องเพื่อช่วยเหลือทารกได้ เพราะการช่วยชีวิตทารกมีความสำคัญและจำเป็นยิ่งกว่าการให้เกียรติ   ส่วนกรณีที่สองก็เป็นที่อนุโลมเช่นกัน เพราะการผ่าศพเพื่อเอาทรัพย์ของผู้อื่นคืนเจ้าของเป็นสิ่งจำเป็นกว่าและศพเองได้ทำลายเกียรติแห่งความเป็นมนุษย์ของตัวเองให้เสื่อมเสียไปแล้ว

แต่ อิบนุอัลนะญีม  มีความคิดแย้งในกรณีที่สองเพราะความมีเกียรติของศพมีค่ากว่าทรัพย์

- สำนักคิดมาลิกี -

นักปราชญ์สำนักคิดนี้ เช่น อิม่ามซะฮฺนูนและอับดุลวะฮฮาบ มีทัศนะว่า ศาสนาอนุโลมเกี่ยวกับทั้งสองกรณี แต่ท่านอิม่ามอับดุลวะฮฮาบได้วางเงื่อนไขว่า ทารกจะต้องมีอายุครบ 7 เดือนและแพทย์มั่นใจว่าเมื่อผ่าแล้วเด็กจะต้องปลอดภัย

ส่วนท่านชัยคฺอุลัยชฺกลับมีความคิดเห็นไม่อนุญาตในกรณีที่หนึ่ง เพราะท่านมองว่าความไม่แน่นอนว่าเด็กจะปลอดภัยหรือไม่ ด้วยความไม่แน่นอนดังกล่าวการผ่าท้องอาจถือได้ว่าเป็นการทำลายเกียรติยศของศพและเป็นเสมือนการกักศพ เป็นการห้ามมิให้นำศพไปสู่การฝังอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการค้านกับวจนะศาสดาที่ว่า "เมื่อมีบุคคลหนื่งเสียชีวิต เจ้าจงอย่าอย่ากักขังศพ ทว่าจงรีบนำศพสู่หลุมฝังศพโดยเร่งด่วน"

- สำนักคิดชาฟิอีย์ - (มุสลิมในประเทศไทยส่วนใหญ่ยึดสำนักคิดนี้เป็นแนวปฏิบัติ)

เหล่านักปราชญ์ของสำนักคิดนี้ เช่น ท่านอิบนุหะญัร, นาวาวีย์ และคอเต็บ อัรชัรบีนีย์ มีความคิดเห็นสอดคล้องกันว่า อนุญาตให้ผ่าท้องศพสตรีมีครรภ์ หากคาดหมายว่าทารกในท้องยังมีชีวิตอยู่และสามารถนำออกมาได้อย่างปลอดภัย

ยิ่งไปกว่านั้นท่านชัยคฺอิบนุหะญัรกล่าวว่า "เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้น" และท่านคอเต็บ ชัรบีนีย์มีความคิดเห็นยืนยันว่า แม้ศพสตรีได้ถูกฝังไปแล้วหากคาดหมายว่าทารกยังชีวิตอยู่และมีอายุเกินกว่า 6 เดือนขึ้นไปให้ขุดศพและผ่าท้องศพนั้นเพื่อเอาทารกในครรภ์ออกมา เพราะการดำเนินการเช่นนี้ถือว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติต่อศพก่อนที่จะฝังเสียอีก แต่หากไม่คาดหวังว่าทารกจะยังมีชีวิตอยู่ ก็ไม่จำเป็นต้องขุด

ในกรณีของการกลืนทรัพย์ก็เช่นเดียวกัน อนุโลมการขุดศพและผ่าท้องได้หากศพได้ถูกนำฝังก่อนผ่าเอาทรัพย์ออก

- สำนักคิดซอฮิรีย์ -

นักปราชญ์นิติศาสตร์สำนักคิดนี้ได้อนุโลมการผ่าท้องทั้งสองกรณี

- สำนักคิดฮัมบาลีย์ -

บรรดานักปราชญ์ในสำนักคิดนี้ มีทัศนะที่แตกต่างกันเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องของการผ่าท้องศพสตรีที่มีครรภ์ โดยท่านสุไลมาน อัลมักดีชีย์ กล่าวว่า เมื่อหญิงมีครรภ์ ถึงความตายให้ผ่าท้องของนางเพื่อเอาทารกในครรภ์ออกมา หากคาดหมายว่าทารกยังมีชีวิตอยู่และไม่สามารถจะนำออกมาทางช่องคลอดได้

แต่ส่วนใหญ่ของนักปราชญ์ในสำนักคิดนี้มีทัศนะว่าไม่อนุญาตให้ผ่า และปล่อยศพค้างไว้จนกว่าทารกในครรภ์จะถึงความตาย แล้วจึงนำไปฝังศพ ท่านอิบนุ กุดามะฮฺมีความคิดเห็นว่า ไม่อนุมัติให้ผ่าท้องศพหญิงมีครรภ์ แต่ให้หมอผดุงครรภ์ใช้มือล้วงช่องคลอดเพื่อนำทารกออกมาตามช่องปกติเพราะการผ่าท้องถือเป็นการหลบลู่เกียรติของศพ พร้อมกันนั้นไม่อาจยืนยันได้ว่าทารกในครรภ์ยังมีชีวิตอยู่เสมอไปก็หาไม่  การลบหลู่เกียรติยศของศพโดยมีเหตุผลเพียงเพื่อช่วยทารกที่ยังไม่แน่นอนว่าจะมีชีวิตอยู่จึงไม่เป็นที่อนุโลม    

สาเหตุที่ปราชญ์หลายคนตามสำนักคิดนี้ที่ไม่อนุโลมการผ่าศพสตรีนั้น เราสามารถวิเคราะห์ได้ว่า น่าจะมาจากไม่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดในสมัยนั้นประการหนึ่ง ซึ่งแน่นอนในกรณีนี้หากยินยอมให้ผ่าก็ย่อมเป็นผลร้ายแก่ทารกและเป็นการลบหลู่เกียรติยศของศพอีกด้วย และอีกประการหนึ่งอาจเป็นสาเหตุมาจากตัวทารกเองที่ไม่อยู่ในสภาพอันคาดหวังว่าจะมีชีวิตอยู่ซึ่งหากยินยอมในกรณีนี้บางทีอาจนำไปสู่การทำให้ศพเสียรูปทรงซึ่งเป็นการลบหลู่ศพ

ส่วนการผ่าศพเพื่อเอาทรัพย์ของเจ้าของคืนนั้นนักปราชญ์ตามสำนักคิดนี้ก็ยังมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ด้วยแต่แนวทางที่มีหลักฐานและเหตุผลชัดเจนกว่า คือ แนวทรรศนะที่เห็นว่า อนุโลมการผ่าศพเพื่อเป็นการคุ้มครองคุณค่าแห่งทรัพย์ที่ถูกขโมยและรักษาสิทธิผู้ที่ถูกลิดรอน นอกจากเจ้าของทรัพย์จะให้อภัยก็ไม่อนุญาตให้ทำการผ่าศพ

สรุปทรรศนะนักวิชาการปัจจุบันเกี่ยวกับการชันสูตรศพ

จากความคิดเห็นของปราชญ์ด้านนิติศาสตร์ทั่วโลกตามสำนักคิดต่างๆ ในอดีตทำให้เราทราบว่า ส่วนใหญ่ของปราชญ์มีทรรศนะว่า การผ่าศพสตรีที่มีครรภ์เพื่อช่วยเหลือทารกให้อยู่รอดก็ดี หรือการผ่าศพเพื่อเอาทรัพย์คืนแก่เจ้าของก็ดี ล้วนเป็นที่อนุโลม ทั้งนี้โดยคำนึงถึงคุณประโยชน์ที่จะได้รับจาการช่วยชีวิตทารกและปกป้องมิให้ทรัพย์สูญเปล่า ซึ่งมีความสำคัญมากกว่าความเสื่อมเสียที่จะเกิดแก่เกียรติยศของความเป็นมนุษย์ของศพ 

โดยใช้หลักทฤษฎีทางนิติศาสตร์อิสลาม (เกาะวาอิดดุลฟิกฮฺตามหลักศาสนาอิสลาม) ซึ่งบรรดาปราชญ์อิสลามในอดีตได้วางหลักและกฎไว้เพื่อตัดสินปัญหาต่างๆ ด้านศาสนา ไม่ว่าปัญหาจะเคยเกิดหรือปัญหาใหม่ๆ ที่เกิดตามยุคสมัยต่างๆ หลักทฤษฎีดังกล่าวที่ว่าด้วย "อันตรายร้ายแรงยิ่งย่อมสิ้นไปด้วยภัยที่ด้อยกว่า"

ในกรณีข้างต้น การผ่าท้องศพแน่นอนจะต้องเป็นภัยแก่ศพและหากไม่ผ่าก็ย่อมเป็นอันตรายต่อชีวิตทารก หรือทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งในทั้งสองประการคือการผ่าท้องศพและการไม่ผ่าล้วนเป็นภัยอันตรายทั้งสิ้น แต่เนื่องจากภัยในประการหลังมีอันตรายร้ายแรงยิ่งกว่าประการแรก จึงอนุญาตให้ผ่าเพื่อปกป้องและคุ้มครองชีวิตทารกแม้จะกระทบกระเทือนแก่เกียรติยศของศพบ้างก็ตาม

การชันสูตรศพ การผ่าศพ และแยกธาตุต่างๆ นั้นมีลักษณะคล้ายคลึงกับกรณีของการผ่าท้องศพ ดังกล่าวมาแล้ว  

หลักเกณฑ์และวิธีการวินิฉัยก็เป็นไปในรูปแบบเดียวกัน ดังนั้นในภาวะจำเป็นเพื่อทราบถึงสาเหตุแห่งการเสียชีวิต การชันสูตรศพ การผ่าศพและแยกธาตุย่อมได้รับการอนุโลมจากหลักการศาสนาให้ทำได้  ทังนี้ด้วยการเล็งเห็นถึงคุณประโยชน์อันใหญ่หลวงที่จะเกิดจากการนั้น ทั้งแง่ในการดำเนินคดีและในทางการแพทย์ เมื่อเปรียบเทียบกับความเสื่อมเสียเกียรติที่จะเกิดแก่ศพ

แต่การอนุโลมให้ทำการชันสูตรศพเป็นการอนุมัติในกรณีพิเศษเฉพาะในกรณีจำเป็นจริงๆ และได้รับการยินยอมจากผู้ปกครองของศพ ทั้งการชันสูตรจะต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของผู้รู้ทางศาสนาอิสลามและการปฏิบัติต้องเป็นไปอย่างนิ่มนวลละมุนละไม ให้ความเคารพและให้เกียรติศพ พร้อมทังต้องระมัดระวังไม่กระทำใดๆ อันเป็นการลบหลู่เกียรติยศของศพ เมื่อเสร็จสิ้นการชันสูตรแล้วให้รีบรวบรวมชิ้นส่วนของศพทั้งหมดเพื่อนำไปฝังตามหลักการศาสนา

ปริศนาการเสียชีวิต 79 ศพหรือ 85 ศพ ในเหตุการณ์ประท้วงที่สถานีตำรวจอำเภอตากใบในอดีต (25/10/47) หรือการเสียชีวิตในที่อื่นๆ ในภาคใต้ในสภาวะปัจจุบันซึ่งถือว่าเป็นสภาวะไม่ปกติ และการเสียชีวิตอย่างปริศนาอื่นอีกในอนาคตนั้น ผู้เขียนคิดว่า การชันสูตรศพน่าจะเป็นทางออกอีกวิธีหนึ่งที่จะได้ทราบปริศนาของการตาย (นี่คือทัศนะของผู้เขียนที่ศึกษาเปรียบเทียบเกี่ยวกับหลักการศาสนาซึ่งอาจมีนักวิชาการด้านศาสนาคนอื่นแย้งก็เป็นสิทธิที่จะกระทำได้หากอยู่บนหลักทางวิชาการศาสนา)

ดังนั้นสำนักจุฬาราชมนตรีหรือสำนักงานคณะกรรมการอิสลามแห่งประเทศไทยน่าจะนำแนวคิดการชันสูตรศพไปพิจารณาและวางกรอบเพื่อง่ายต่อหน่วยงานของรัฐ,  เอกชนและประชาชนในการปฏิบัติ เพราะกฎหมายอิสลามเหมาะสมแก่ทุกยุคทุกสมัย  หลักการบางอย่างมีความยืดหยุ่น เปิดกว้างให้มุสลิมมีความสะดวกในการเลือกปฏิบัติ จึงเป็นหน้าที่ของมุสลิมที่จะต้องหมั่นศึกษาเพื่อทราบถึงข้อบัญญัติทางศาสนาว่ากว้างขวางและแคบเพียงใด เพื่อการมีชีวิตอยู่อย่างสะดวกสบาย ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญหนึ่งของอิสลามและเพื่อปัญหาบางอย่างที่มักจะเกิดขึ้นระหว่างมุสลิมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐเช่นการชันสูตรศพจะได้หมดไป 

            อีกทั้งเพื่อความยุติธรรมแห่งกฎหมายจะได้แผ่กระจายครอบคลุมถึงคนทั้งชาติโดยไม่เลือกว่าจะนับถือศาสนาใด

----------------------------------------------------------------------------------------------------------