Skip to main content

เหตุซ้ำรอยแผลเก่า?

 

โดย Mubarad Salaeh

 

 

ขอบคุณภาพจาก http://www.springnews.co.th

 

ผมเห็นข่าววันสองวันนี้ ที่ค่อนข้างจะบาดตาต่อผู้คนในบ้านเมืองเราเป็นอย่างมาก ซึ่งก็เป็นคดีฆาตกรรมของเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง ที่รุมกันฆ่าข่มเหงอย่างเลือดเย็น แม้แต่คนไม่มีทางสู้ ก็ไม่เว้นชีวิตถึงปางตาย นี่อาจเป็นพฤติกรรมที่รับไม่ได้เป็นอย่างมากและเราควรเก็บเอามาคิดทบทวนกันใหม่ ว่าต้นต่อของเหตุการณ์โศกนาฏกรรมของเด็กชายพิการเกิดขึ้นได้อย่างไร และด้วยเหตุผลอะไร จึงเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ซ้ำรอยกันอยู่ทุกวัน

 

สิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นนั้น มิใช่อะไรอื่นเลย นอกจากความโอหังแข็งกร้าวของคนในครอบครัวที่เลี้ยงดู แม้แต่ตัวเด็กเองก็ยังไม่เกิดความสำนึกผิดอะไรเลย หนำซ้ำยังมีแววตาที่แข็งกระด้างเกินกว่าจะยอมรับความผิดของตน ที่ได้พึงกระทำอย่างเย็นชา สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากมาย เรารู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่า สังคมของเรานั้นมันไม่ยุติธรรมตั้งแต่ตัวเราแล้ว เราปล่อยให้กลุ่มเด็กเหล่านี้ ก่อเหตุการณ์เข่นฆ่าได้อย่างไร ในเมื่อเราเป็นผู้ใหญ่ที่ควรจะเป็นตัวอย่างที่ดีต่อกลุ่มเยาวชน แต่กลับปล่อยละเลยต่อเหตุการณ์ที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ได้ทุกวัน

 

โศกนาฏกรรมคงจะไม่เกิดขึ้น หากความเป็นผู้ใหญ่ควรชี้นำทางแก่กลุ่มเยาวชนทั้งหลาย ในขณะที่เราต่างมุ่งหวังว่า เด็กๆ ทุกคนเป็นอนาคตของชาติที่กำลังเติบโต แต่เรากลับไม่มองตัวเอง ในสิ่งที่ได้พึงกระทำนั้น เป็นต้นต่อและตัวอย่างที่เป็นด้านลบแก่เด็กๆ ทั้งความผิดเล็กน้อยที่เรามองข้าม และก็ยังเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวัน ด้วยเรื่องราวที่ว่า สิ่งใดที่ผิดต่อกฏหมาย เรามักจะใช้อำนาจเหนือกฎหมาย ลบล้างความผิดนั้นอย่างใสสะอาด ทั้งที่ควรมองเห็นว่า ความผิดย่อมเอาโทษผู้กระทำผิดมาลงโทษ แต่กลับเป็นเอาว่าผู้เสียหาย ไ้ม่สามารถเอาผิดคู่กรณีย์ได้เลย หนำซ้ำก็ได้เป็นเพียงแค่การเยียวยาปลอบใจต่อการสูญเสียที่ไม่อาจเรียกคืน ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นซ้ำและบ่อยมากขึ้นเรื่อยๆ

 

ทุกครั้งที่เราฝ่าไฟแดง ก็เกิดความคิดที่ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย เหตุเพราะพ่อฉันเป็นตำรวจบ้างหรือฉันมีเพื่อนเป็นตำรวจบ้าง ซึ่งเราเอาเหตุผลเหล่านี้ มาเป็นตัวช่วยในการกลบเกลื่อนความเป็นของเราอย่างแนบเนียน ทั้งเรื่องการส่งลูกเข้าเรียนมหาวิทยาลัยหรือโรงเรียนดีๆ เราก็มักใช้อภิสิทธิ์เหนือกฎเกณฑ์ที่กำหนดอยู่แล้วเอาไว้ทั้งสิ้น เช่น เมื่อลูกของเราไม่สามารถสอบเข้าโรงเรียนได้ เราก็ใช้เส้นสายที่ไม่สุจริต โดยการฝากผู้อำนวยการที่เป็นเพื่อนของเรา ผ่านการเข้าสอบได้อย่างง่ายดาย และเข้าไปเรียนอย่างสบายใจ เหมือนไม่มีความผิดหรือขัดข้องอะไรเลย

 

นี่เป็นส่วนเล็กๆ ที่เรามองข้าม ที่ปลูกฝั่งให้เยาวชนไม่เกรงกลัวหรือเคารพต่อกฎหมาย จึงไม่แปลกอะไร ที่กลุ่มเด็กเหล่านั้น ได้รุ่มกันทำร้ายผู้อื่นถึงแก่ชีวิต เพราะเมื่อกฎหมายไม่อาจเอาผิดพวกเขาได้ แล้วจะให้เด็กหวั่นกลัวได้อย่างไร เมื่อการมีอำนาจนั้นยังคงเหนือกฎหมาย ซึ่งหาเหตุผลผู้กระทำผิดไม่ได้ หรือก็เป็นเพียงข้ออ้างว่า เด็กทำไปเพราะรู้ไม่เท่าถึงการณ์ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ ก็คือการวิพากษ์วิจารณ์ก่นด่าตำรวจหรือกฎหมายบ้านเมืองที่ไม่ยอมเอาผิดให้ถึงที่สุด กระทั่งบางครั้งก็ถึงขั้นให้ประหารชีวิตเลยทีเดียว

 

เราจึงควรกลับมามองตัวเราเอง มากกว่าจะไปวิพากษ์คนอื่นที่กระทำผิด ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้สอนอะไรเราบ้างในวันนี้ เป็นไปได้ไหมที่เราจำต้องตระหนักว่ากฎหมายการปกครองบ้านเมือง จำต้องอยู่เหนืออำนาจหรือเหตุผลข้ออ้างทั้งหลาย หรือแม้แต่สิ่งเล็กๆ ก็มิควรมองข้ามเช่นกัน ดังนั้น อย่างที่ได้กล่าวเอาไว้  สิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นความยุติธรรมหรือความถูกต้อง ต่างขึ้นอยู่กับตัวเราและคนในประเทศทั้งสิ้น หากว่าเราจะเปลี่ยนแปลงสังคมให้น่าอยู่มากขึ้น ก็ควรกลับมามองจุดเริ่มต้น ซึ่งทั้งหมดนั้นก็คือตัวเรานั่นเอง