Skip to main content

 

การถือศีลอดในทัศนะทางการแพทย์

 

โดย นายแพทย์มุหัมมัดดาวูด อับดุลลอฮฺ (เจ๊ะเลาะ)

 

 

อัลลอฮฺได้ตรัสไว้ในสูเราะฮฺ  อัล-บะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 183 ว่า

«يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا كُتِبَ عَلَيْكُمُ الصِّيَامُ كَمَا كُتِبَ عَلَى الَّذِينَ مِنْ قَبْلِكُمْ لَعَلَّكُمْ تَتَّقُونَ» (البقرة/183)

 “โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย การถือศีลอดได้ถูกบัญญัติแก่พวกเจ้า ดังเช่นได้ถูกบัญญัติแก่ประชาชาติก่อนเจ้า เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้ยำเกรง”

( 2/183 )

           การถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอน  เป็นอิบาดะฮฺเฉพาะอย่างหนึ่ง  ได้ถูกบัญญัติลงมาใน เดือนชะอฺบานปีที่ 2 แห่งฮิจญ์เราะฮฺศักราช  เป็นอิบาดะฮฺที่เน้นการงานทางด้านจิตวิญญาณเป็นสำคัญ  คือให้คนรู้จักความอดทน  อดกลั้นหรือละเว้นจากการกิน  การดื่ม  การร่วมรสระหว่างสามีภรรยา  รวมถึงการกระทำในสิ่งที่ไร้สาระหรือขัดต่อคุณธรรม  เริ่มตั้งแต่รุ่งอรุณจนถึงตะวันลับขอบฟ้า  ด้วยเจตนา(เนียต)เพื่อพระองค์อัลลอฮฺเท่านั้น

          การถือศีลอด มิใช่ ความอดอยาก เพราะการถือศีลอดมีจุดม่งหมายและหลักปฏิบัติอย่างชัดเจน  มุอ์มินผู้ศรัทธาเชื่อว่าจะต้องมีหิกมะฮฺ(เคล็ดลับ)อย่างแน่นอน เช่น สำนักการแพทย์ธรรมชาติบำบัดที่เน้นการบำบัดรักษาโรคด้วยวิธีการอดอาหารเป็นหลัก ในโอกาสนี้จะขออธิบายถึงหลักการบางอย่างที่เกี่ยวกับการถือศีลอดว่า  มีความสอดคล้องหรือขัดต่อหลักวิชาการแพทย์อย่างไรหรือไม่ เป็นพอสังเขป ดังนี้

1. ระยะเวลาการถือศีลอด

          การถือศีลอดเราะมะฎอนหรือถือศีลอดสุนัตก็ดี จะใช้ระยะเวลาในการละเว้นจากสิ่งต้องห้ามโดยเฉลี่ยประมาณ 13 ชั่วโมงต่อวัน  ซึ่งโดยปกติเราทุกคนมีการอดอาหารอยู่แล้วครั้งละ10-12 ชั่วโมง  คือหลังอาหารเย็น(ค่ำ)จนถึงการกินอาหารในวันเช้าใหม่และในการตรวจวินิจฉัยโรคบาอย่าง เช่นการเจาะเลือดผู้ป่วยก็ต้องอดอาหารเป็นระยะเวลา 10-12 ชั่วโมง  เช่นกัน  ดังนั้นจะเห็นว่าระยะเวลาของการถือศีลอดไม่ขัดต่อหลักการตามธรรมชาติที่อัลลอฮฺกำหนด(สุนนะตุลลอฮฺ)หรือหลักทางการแพทย์แต่อย่างใด แต่จะมีความแตกต่างกันอยู่ที่ช่วงเวลากลางวันหรือกลางคืน  ซึ่งการถือศีลอดยึดเอาช่วงเวลากลางวันเป็นหลัก ก็เพราะมีจุดประสงค์ที่มากกว่าการอดอาหารทั่วไปนั่นอง

2. การเปลี่ยนแปลงในร่างกาย

          การถือศีลอดจะทำให้ร่างกายต้องขาดพลังงานจากสารอาหารและต้องสูญเสียน้ำจากการขับถ่ายออกจากร่างกาย  การสูญเสียน้ำมากกว่า  2%  ของน้ำหนักตัวจะทำให้รู้สึกกระหายน้ำ  และเมื่อระดับในน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดและเซลล์ลดลงก็จะทำให้รู้สึกหิว ซึ่งจะเกิดอาการหลังจากการอดไปแล้วประมาน  6  - 12 ชั่วโมง  ซึ่งเรียกนี้ว่าระยะหิวโหย

         ระดับน้ำตาลกลลูโคสและน้ำลดที่ลดลงจะกระตุ้นเซลล์ประสาท(นิวรอน)บริเวณฮัยโปทาลามัส(Hypothalamus)ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นศูนย์ควบคุมความหิว ศูนย์อิ่มและศูนย์กระหายน้ำ   สำหรับคนที่มีร่างกายปกติมีเจตนาอย่างแน่วแน่และมีความเชื่อมั่นต่อบทบัญญัติของอัลลอฮฺแน่นอนจะไม่ทำให้เขาถึงขั้นมีอาการหน้ามืดหรือหมดสติไป  เพราะระบบต่างๆ ในร่างกายจะช่วยประสานงานกันโดยอัตโนมัติเพื่อที่จะรักษาสมดุลให้เกิดขึ้นในร่างกาย

          ในระยะแรกร่างกายจะเริ่มมีการสลายพลังงานในรูปของไกลโคเจนที่เก็บสะสมไว้ในตับและกล้ามเนื้อ   โดยมีฮอร์โมนกลูกากอนจากตับอ่อนมาช่วยในปฏิกิริยาเคมีนี้จะได้น้ำตาลกลูโคสเพื่อนำไปใช้เป็นพลังงานต่อไป  ส่วนต่อมหมวกไต(Adrenal Gland)ในส่วนใน(Medulla) ก็จะถูกกระตุ้นให้หลั่งเอพิเนฟริน( Epinephrine )เพิ่มมากขึ้น และมีผลทำให้เซลล์อื่นๆใช้พลังงานลดน้อยลงด้วย

          ถ้าพลังงานที่ได้รับจากการสลายไกลโคเจนไม่เพียงพอ ก็จะสลายพลังงานสำรองในรูปของไขมัน ซึ่งกรดไขมันอิสระออกมาสู่กระแสเลือดและจะถูกเปลี่ยนไปเป็นกลูโคสเพื่อนำไปใช้เป็นพลังงานต่อไป ส่วนการรักษาดุลน้ำและเกลือแร่ก็เป็นหน้าที่ของ Hypothalamus เช่นกันที่จะกระตุ้นให้ต่อมใต้สมองได้หลั่งฮอรโมน  Vasopressin หรือ  ADH จะมีผลทำให้ไตมีการดูดซึมน้ำกลับมาใช้เพิ่มมากขึ้นจึงทำให้ปัสสาวะน้อยลงและมีสีเข้มมากกว่า

          ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าอัลลอฮฺทรงรอบรู้ยิ่งเกี่ยวกับการทำงานของระบบต่างๆในร่างกายของมนุษย์และพระองค์ก็ได้กำชับให้เราศึกษาเกี่ยวกับตัวของเราเอง  ดังคำตรัสของอัลลอฮฺ

«وَفِي أَنْفُسِكُمْ أَفَلا تُبْصِرُونَ» (الذاريات/21)

 "และในตัวของพวกเจ้า พวกเจ้าไม่เห็นอะไรดอกหรือ?”

(อัซ-ซารียาต 51 : 21)

3. การละศีลอด

ท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้แนะนำวิธีการละศีลอดไว้อย่างไร?

          เมื่อเวลาละศีลอด อิสลามให้เรารีบละศีลอดก่อนที่จะดำรงการละหมาดและแนะนำให้ละศีลอดด้วยลูกอินทผลัมหรือด้วยน้ำ มีรายงานจากท่านอะนัส บิน มาลิก เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า

          “ปรากฏว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ละศีลอดด้วยอินทผลัมที่สุกงอมก่อนที่จะไปละหมาด ถ้าไม่มีอินทผลัมที่สุกงอมก็จะแก้ด้วยอินทผลัมที่แห้ง   ถ้าหากไม่มีอินทผลัมที่แห้งก็จะจิบน้ำหลายจิบ”

(บันทึกโดย อะหมัด, อบู ดาวูด, อิบนุ คุซัยมะฮฺ  และอัต-ติรมิซีย์)

          ในลูกอินทผลัมมีอะไรหรือ ? จากการวิจัยทางด้านโภชนาการทำให้เราทราบว่า ในลูกอินทผลัมที่สุกงอมนั้นประกอบด้วย น้ำตาลฟรุกโตส น้ำ วิตามิน และแร่ธาตุ โดยเฉพาะน้ำตาลฟรุกโตสจัดเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานแก่รร่างกายชนิดหนึ่ง  มีการดูดซึมบริเวณลำไส้เล็ก โดยวิธี  Facilitate diffusion ซึ่งไม่ต้องใช้พลังงาน  ส่วนน้ำตาลกลูโคสและกาแลกโตสนั้นจะดูดซึมแบบ  Secondary Active ซึ่งต้องอาศัยทั้งตัวพาและพลังงาน  ดังนั้นในสภาวะที่ร่างกายกำลังอ่อนเพลียจากการขาดพลังงานและน้ำ ลูกอินทผลัมน่าจะเป็นผลไม้ที่ดีชนิดหนึ่งสำหรับผู้ที่ถือศีลอด ส่วนผลไม้ชนิดอื่นๆ ที่มีรสหวานก็สามารถทานได้(แต่ไม่ใช่ซุนนะฮฺ)

          ในทางตรงกันข้ามถ้าละศีลอดด้วยน้ำเย็นหรืออาหารหนักและอิ่มมากจนเกินไปก่อนจะไปละหมาดแทนที่เราจะได้พลังงานกลับคืนมาอย่างเร็ว เรากลับต้องเสียพลังงานไปเนื่องจากเลือดจะถูกส่งไปยังกระเพาะอาหารและลำไส้เพิ่มมากขึ้น ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองน้อยลง(สมองต้องการนำตาลกลูโคสประมาณ  40 % จากทั้งหมด)  จึงทำให้มีอาการมึนงง เวียนศรีษะ อ่อนเพลีย แน่นหน้าอกและง่วงซึมได้ ดังนั้นในขณะที่แก้ศีลอดท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวคำดุอาอ์ว่า

ذهب الظمأ وابتلت العروق وثبت الأجر إن شاء الله

"ความกระหายน้ำได้สูญหายแล้ว เส้นโลหิตได้ชุ่มชื่นและจะได้รับการตอบแทนอย่างแน่นอน อินชาอัลลอฮฺ”

(อบู ดาวูด, อัล-บัยฮะกีย์ และอัล-หากิม)

4. จุดประสงค์ของการถือศีลอด

          มนุษย์อาจจะมีฐานะที่สูงส่งหรือต่ำต้อยกว่าสัตว์เดรัจฉาน ขึ้นอยู่กับความศรัทธาและอิบาดะฮฺของเขาต่ออัลลอฮฺประกอบกับความสามารถในการใช้สติปัญญาและจิตสำนึก เพื่อเอาชนะอารมณ์ใฝ่ต่ำหรือกิเลสได้ จะต้องผ่านการฝึกอบรมเป็นการพิเศษอย่างต่อเนื่องกับปัจจัยที่มีความสำคัญสำหรับชีวิตโดยมีเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น การถือศีลอดเราะมะฎอน

          ทำไมเราจะต้องอดน้ำอดอาหารทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต โดยปกติแล้ว  เป็นสิ่งที่ได้อนุมัติ(หะลาล)สำหรับมนุษย์ รวมถึงการหลับนอนระหว่างสามีภรรยาในเวลากลางวันต้องกลับมาเป็นสิ่งที่ต้องห้ามในเดือนเราะมะฎอน

          คำตอบคือ เพื่อพิสูจน์ความเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริง เพื่อแสดงให้เห็นว่าความรู้สึกหิวโหยหรืออารมณ์ใฝ่ต่ำเขาสามารถควบคุมได้ ซึ่งต่างกับสัตว์ที่พร้อมจะสนองตอบอารมณ์อยากใคร่ของมันได้ทุกเมื่อ ดังนั้นเมื่อเดือนเราะมะฎอนสิ้นสุดแล้วจะมีการเฉลิมฉลองความสำเร็จที่เรียกว่าอีดุลฟิฏร์ คือเฉลิมฉลองการมีใจที่บริสุทธิ์ เข้มแข็ง หลุดพ้นจากการครอบงำของของ อารมณ์ใฝ่ต่ำ และ ชัยฏอน นั่นเอง

          ดังนั้นการดำรงชีวิตของมุอฺมินทุกคนหลังจากเราะมะฎอนแล้ว จะเปรียบเสมือนชีวิตของคนที่ในสภาวะการถือศีลอดตลอดไป เขาจะต้องอดกลั้น ละเว้นจากการกระทำในสิ่งที่เป็นหะรอม(ทุจริตคอรัปชั่น คดโกง รับสินบน รับส่วย กินดอกเบี้ย เป็นต้น) และต้องห่างไกลจากการกระทำซินา ได้อย่างง่ายดายด้วยความภาคภูมิใจ เพราะเขาได้บรรลุถึงขั้น อัล-มุตตะกีน (ผู้ยำเกรง ผู้สำรวม) นั่นเอง ซึ่งอัลลออฮฺได้ให้คำมั่นสัญญาว่า

«إِنَّمَا يَتَقَبَّلُ اللَّهُ مِنَ الْمُتَّقِينَ» (المائدة/27)

“แท้จริง อัลลอฮฺจะทรงรับงานของผู้ตักวา(ยำเกรง)เท่านั้น”

(อัล-มาอิดะฮฺ 5 :27) 

 

บทสรุป

          จากคำอธิบายโดยย่อๆ ข้างต้น พอจะสรุปได้ว่าแท้จริงการถือศีลอดนั้น ไม่ขัดต่อหลักการแพทย์แต่อย่างใด เพราะคุณสมบัติบางประการของผู้ที่ถือศีลอดนั้นต้องเป็น มุอ์มินที่มีสุขภาพดี และมิใช่ผู้ที่มีอุปสรรคบางอย่าง (ดูรายละเอียดในวิชาฟิกฮฺ) ส่วนบุคคลที่มีอุปสรรคจริงๆ จะได้รับการผ่อนผันหรือยกเว้นจากการถือศีลอดโดยบุคคลกลุ่มหนึ่งจะต้องถือศีลอดใช้และกลุ่มหนึ่งต้องจ่ายฟิดยะฮฺแทน นั่นก็เป็นเพราะความเมตตาและรอบรู้ของอัลลลอฮฺเกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมี กลไกการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายมนุษย์นั้นเอง

          แน่นอนมิใช่ความประสงค์ของอัลลลอฮฺหากว่าอิบาดะฮฺนั้นจะนำไปสู่ความสูญเสีย(ทำให้เกิดโรค)แก่บ่าวของพระองค์ มีนักวิชาการอเมริกาคนหนึ่งชื่อนายแพทย์  Allan  Cott ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า “ Why Fast?” (ทำไม่ต้องถือศีลอด) ซึ่งเป็นผลจากการวิจัยของเขาจากหลายๆ ประเทศ  เขาได้สรุปถึงเคล็ดลับของการถือศีลอดไว้  10 ข้อ ดังนี้

1. to feel better  physically  and   mentally  = ทำให้รู้สึกว่ามีสุขภาพและจิตใจที่ดีขึ้น

2. to look  and  feel  younger  = ทำให้มองเห็นและรู้สึกอ่อนเยาว์ขึ้น

3. to clean  out  the  body  =  ทำให้ร่างกายสะอาดสะอ้าน

4. to lower  blood  pressure  and  cholesterol  levels  = ช่วยลดความดันโลหิตสูง  และระดับคอเลสเตอรอลในเลือด

5. to get  more  out  of  sex   = ช่วยลดความรู้สึกอารมณ์ใคร่ (เซ็กส์)

6. to let  the  body  health  itself  = ช่วยให้ร่างกายบำบัดตนเอง     

7. to relieve  the   tension   = ช่วยลดความตรึงเครียด

8. to sharp  the  sense  = ช่วยให้สติปัญญาเฉียบแหลม

9. to again control  of  ourselves  = ทำให้สามารถควบคุมตนเองได้

10. to  slow  the  aging  process  = ช่วยชะลอความชรา

 

           นอกจากหิกมะฮฺดังกล่าวแล้ว ท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ยังกล่าวไว้  มีใจความ

 “แด่ผู้ถือศีลอดนั้น เขาจะได้รับความสุขสองประการคือ ความสุขเมื่อถึงยามละศีลอดและจะมีความสุขเมื่อได้พบกับผู้อภิบาลของเขา(ในวันกิยามะฮ์)”

พร้อมกับรางวัลที่สูงสุดคือ สวนสวรรค์  ซึ่งเขาจะเดินเข้าทางประตู อัร-ร็อยยาน ที่ได้สร้างเฉพาะแก่บรรดาผู้ที่ถือศีลอดด้วยความสุจริตใจต่ออัลลอฮฺ เท่านั้น ...

 

เผยแพร่ครั้งแรกที่ www.islammore.com