ในมุมมองของคนทั่วไป เดือนรอมฏอนและการถือศีลอดของชาวมุสลิมอาจจะเป็นสิ่งแปลกและมักจะเกิดข้อสงสัยเสมอว่า ทั้งๆที่เดือนนี้เป็นเทศกาลแห่งการถือศีลอดซึ่งมุสลิมทุกคนจะถือศีลอดกัน (ไม่เฉพาะนักบวชหรือนักการศาสนาเท่านั้น) อันเป็นการอดอาหารและน้ำดื่มตั้งแต่ย่ำรุ่งจนถึงยามอาทิตย์ลับฟ้า ซึ่งโดยปกติน่าจะเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ เนื่องจากความยากลำบากและข้อจำกัดในเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะการกินดื่ม
แต่เหตุใดมุสลิมจึงให้ความสำคัญต่อเดือนรอมฏอนเป็นพิเศษและรู้สึกยินดีปรีดาต่อการมาเยือนของช่วงเวลานี้?
หากต้องการไขปริศนาดังกล่าว เราต้องทำความเข้าใจจากมุมมองภายใน มิไช่มุมมองภายนอกที่ต่างศาสนิกมองเพียงอย่างเดียว และการทำความเข้าใจจากมุมมองภายในที่ชัดเจนที่สุด ที่จะทำให้ทราบถึงคุณค่าของเดือนรอมฏอนและการถือศีลอดในมุมมองของมุสลิมได้ดีที่สุดก็คือ การศึกษามุมมองของมุสลิมจากคำสอนโดยตรงของศาสดามุฮัมมัด ผู้เป็นอัครศาสดาและเป็นประมุขของมุสลิมทุกคน
จากการศึกษาคำสอนของศาสดามุฮัมมัดเกี่ยวกับเดือนรอมฏอน นอกจากจะทำให้เราทราบถึงที่มาของทัศนคติของมุสลิม อันอุดมด้วยคุณค่าที่เกี่ยวกับเดือนรอมฏอนและการถือศีลอดแล้ว เรายังจะทราบถึงมุมมองที่แท้จริงของอิสลามที่มีต่อจิตใจมนุษย์ ทำให้สามารถนำมาเปรียบเทียบกับทัศนคติหรืออคติเดิมๆ ที่ได้รับจากสื่อเกี่ยวกับความโหดร้ายทารุณและน่าสพรึงกลัวได้อย่างเป็นกลาง
คุฎบะฮ์ "ชะอ์บานียะฮ์"เพื่อการเตรียมพร้อมสู่เดือนรอมฏอนอันจำเริญ
ท่านศาสดามุฮัมมัดได้กล่าวคุฎบะฮ์(เทศนา) ในช่วงปลายเดือนชะอ์บาน (เดือนก่อนเดือนรอมฏอนตามจันทรคติ) เพื่อแนะนำให้มวลมุสลิมได้รู้จักความยิ่งใหญ่ของเดือนรอมฏอนอันจำเริญว่า :
"
โอ้ชาวประชาแท้จริงเดือนแห่งพระองค์อัลลอฮ์กำลังย่างก้าวสู่พวกท่าน พร้อมกับความจำเริญความเมตตา และการอภัยโทษจากพระองค์เดือนนี้เป็นเดือนที่ประเสริฐสุด ณ องค์อัลลอฮ์
ช่วงวันของเดือนนี้เป็นทิวาอันประเสริฐสุดและกลางคืนของเดือนนี้ก็เป็นราตรีที่ประเสริฐสุดช่วงเวลาทุกชั่วยามในเดือนนี้เป็นช่วงเวลาที่ล้ำเลิศที่สุด
เดือนนี้คือฤกษ์งามยามดีที่พวกท่านได้รับเชิญเข้าสู่งานเลี้ยงของพระองค์และได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นผู้มีเกียรติ ณ พระองค์
ทุกลมหายใจของพวกท่านคือการตัสบีห์ (สรรเสริญพระองค์)และการงีบหลับของพวกท่านล้วนนับเป็นอิบาดะฮ์(การสักการะพระองค์)ทั้งสิ้น
อะมั้ล(ศาสนกิจ)ของพวกท่านล้วนได้รับการยอมรับในเดือนนี้และดุอาทุกบทของพวกท่านล้วนได้รับการตอบรับ ฉะนั้นขอพวกท่านจงวอนขออัลลอฮ์ผู้เป็นพระผู้อภิบาลด้วยเจตน์จำนงอันซื่อตรงและด้วยจิตที่บริสุทธิ
เพื่อพระองค์จะทรงบันดาลให้ท่านประสบความสำเร็จในการถือศีลอดและการอัญเชิญพระมหาคัมภีร์ของพระองค์ เพราะแน่แท้คนอัปยศก็คือผู้ที่พลาดโอกาสที่จะได้รับการอภัยโทษของพระองค์ในช่วงเดือนอันยิ่งใหญ่นี้
พวกท่านจงสำนึกตรึกตรองถึงความหิวกระหายของพวกท่านในวันฟื้นคืนชีพด้วยกับความหิวกระหายของพวกท่าน(ในเดือนนี้) และจงบริจาคทานแก่เหล่ายาจกและผู้ยากไร้ในหมู่พวกท่าน
จงให้เกียรติผู้หลักผู้ใหญ่และจงเมตตาเด็กๆในหมู่พวกท่านและจงกระชับสัมพันธไมตรีระหว่างเครือญาติของพวกท่านให้แน่นแฟ้น พวกท่านจงปกปักษ์รักษาลิ้น(ไม่ให้พูดในสิ่งที่ไม่เหมาะสม)และจงงดเว้นการมองและการฟังสิ่งที่ไม่เป็นที่อนุมัติสำหรับพวกท่าน
อะมั้ล(ศาสนกิจ)ของพวกท่านล้วนได้รับการยอมรับในเดือนนี้และดุอาทุกบทของพวกท่านล้วนได้รับการตอบรับ ฉะนั้นขอพวกท่านจงวอนขออัลลอฮ์ผู้เป็นพระผู้อภิบาลด้วยเจตน์จำนงอันซื่อตรงและด้วยจิตที่บริสุทธิ
เพื่อพระองค์จะทรงบันดาลให้ท่านประสบความสำเร็จในการถือศีลอดและการอัญเชิญพระมหาคัมภีร์ของพระองค์ เพราะแน่แท้คนอัปยศก็คือผู้ที่พลาดโอกาสที่จะได้รับการอภัยโทษของพระองค์ในช่วงเดือนอันยิ่งใหญ่นี้
พวกท่านจงสำนึกตรึกตรองถึงความหิวกระหายของพวกท่านในวันฟื้นคืนชีพด้วยกับความหิวกระหายของพวกท่าน(ในเดือนนี้) และจงบริจาคทานแก่เหล่ายาจกและผู้ยากไร้ในหมู่พวกท่าน
จงให้เกียรติผู้หลักผู้ใหญ่และจงเมตตาเด็กๆในหมู่พวกท่านและจงกระชับสัมพันธไมตรีระหว่างเครือญาติของพวกท่านให้แน่นแฟ้น พวกท่านจงปกปักษ์รักษาลิ้น(ไม่ให้พูดในสิ่งที่ไม่เหมาะสม)และจงงดเว้นการมองและการฟังสิ่งที่ไม่เป็นที่อนุมัติสำหรับพวกท่าน
และจงมอบความเอื้ออาทรแด่เด็กกำพร้าทั่วไปแล้วเด็กกำพร้าของพวกท่านก็จะได้รับความเมตตาเช่นกัน
พวกท่านจงกลับตัวกลับใจสู่พระองค์อัลลอฮ์จากบาปกรรมที่พวกท่านเคยก่อไว้ พวกท่านจงยกสองมือขึ้นดุอาในยามละหมาดเพราะณ ช่วงเวลานี้คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดซึ่งพระองค์จะทอดพระเนตรด้วยความเมตตายังปวงบ่าวของพระองค์
พวกท่านจงกลับตัวกลับใจสู่พระองค์อัลลอฮ์จากบาปกรรมที่พวกท่านเคยก่อไว้ พวกท่านจงยกสองมือขึ้นดุอาในยามละหมาดเพราะณ ช่วงเวลานี้คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดซึ่งพระองค์จะทอดพระเนตรด้วยความเมตตายังปวงบ่าวของพระองค์
เพื่อตอบคำวิงวอนของพวกเขาเมื่อพวกเขาเอื้อนเอ่ยและเพื่อขานรับพวกเขายามที่พวกเขาเพรียกหา และเพื่อประทานมอบในสิ่งที่พวกเขาเอ่ยขอและตอบรับพวกเขายามที่พวกเขาขอพรจากพระองค์
โอ้ปวงประชาแท้จริงชีวิตของพวกท่านถูกจำนำไว้กับความประพฤติของพวกท่านเอง ฉะนั้นจงไถ่คืนชีวิตของพวกท่านด้วยการอิสติฆฟาร (ขออภัยโทษจากพระองค์)
และบัดนี้แผ่นหลังของท่านต้องแบกรับน้ำหนักสัมภาระ(แห่งบาปที่ก่อไว้) ฉะนั้นจงผ่องถ่ายให้เบาลงด้วยการบรรจงสุญูด(กราบกรานพระองค์)ที่ยาวนานเถิด
และพึงทราบไว้เถิดว่าแท้จริงอัลลอฮ์ทรงเปล่งสัญญาด้วยกับเกียรติภูมิของพระองค์ว่าจะไม่ลงทัณฑ์ผู้ดำรงนมาซ (นมัสการ) และผู้บรรจงสุญูด
และจะไม่เขย่าขวัญพวกเขาด้วยไฟนรกในวันที่มวลมนุษย์ได้รับการพิพากษาของพระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก โอ้ปวงประชาหากในหมู่พวกท่านมีผู้เลี้ยงละศีลอดแก่มุอ์มิน(ผู้ศรัทธา)สักเพียงหนึ่งคนในเดือนนี้ เขาจะได้รับผลบุญเทียบเท่าผู้ปล่อยบ่าวทาสและจะได้รับการอภัยโทษในบาปที่เขาเคยก่อไว้ในอดีต
มีผู้กล่าวขึ้นว่า "โอ้รอซูลุลลอฮ์(ศาสนทูตของพระเจ้า)ครับไม่มีใครในหมู่พวกเราเลยที่จะมีความสามารถเลี้ยงละศีลอดได้อย่างที่ท่านกล่าว"
ท่านนบีกล่าวตอบว่า "(พวกท่านสามารถ) หลีกเลี่ยงไฟนรกได้ด้วยอินผลัมสักเพียงครึ่งเม็ดหรืออาจเป็นน้ำสักเพียงอึกเดียวเท่านั้น" โอ้กลุ่มชนพวกท่านคนใดที่มีจรรยามารยาทที่ดีงามในเดือนนี้ เท่ากับว่าเขามีใบอนุญาตผ่านสะพานศิรอฎ(สะพานที่ทอดผ่านนรกในคติของมุสลิม)ในวันที่ผู้คนพลัดตกลง(ในไฟนรก)
และใครก็ตามที่ระงับนิสัยที่ไม่พึงประสงค์ของตนในเดือนนี้ พระองค์ก็จะระงับความพิโรธในวันพิพากษา
และใครก็ตามที่แสดงความเมตตาต่อเด็กกำพร้า อัลลอฮ์จะทรงยกย่องเขาในวันกิยามะฮ์ (ปรโลก/วันแห่งการฟื้นจากความตายเพื่อรับการพิพากษา) และใครก็ตามที่เชื่อมสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติ อัลลอฮ์จะทรงเชื่อมเขาเข้ากับความเมตตาของพระองค์ในวันกิยามะฮ์ ทว่าใครก็ตามที่ตัดสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติ อัลลอฮ์ก็จะทรงตัดความเมตตาจากเขา ใครก็ตามที่เพียรพยายามนมาซ(มุสตะฮับ/นมาซที่มิไช่ข้อบังคับ)สักเพียงครั้งหนึ่ง อัลลอฮ์จะทรงมอบอิสรภาพจากไฟนรกแก่เขา
ใครก็ตามที่ปฎิบัตินมาซฟัรฎู (นมาซที่เป็นข้อบังคับ วันละ5ครั้ง)ตามปกติในเดือนนี้ เขาจะได้รับผลบุญถึง 70เท่าของเดือนอื่นๆ และใครก็ตามที่เพียรพยายามนมาซให้มากในเดือนนี้อัลลอฮ์จะทรงเพิ่มน้ำหนักตราชูการกระทำของเขาให้หนักยิ่งขึ้นขณะที่น้ำหนักการกระทำของผู้อื่นมักจะเบาสนิทในวันกิยามะฮ์ และใครก็ตามที่อ่านอัลกุรอานแม้เพียงอายะฮ์ (โองการ) เดียวในเดือนนี้ เขาจะได้รับผลบุญเท่ากับการอ่านกุรอานทั้งเล่มในเดือนอื่นๆ โอ้ปวงชนเอ๋ย แท้จริงประตูทุกบานของสรวงสวรรค์เปิดกว้างแล้วในเดือนนี้ ฉะนั้นจงวิงวอนต่อพระองค์อย่าได้ทรงปิดประตูสวรรค์ และสกัดกั้นพวกท่าน
และแท้จริงประตูนรกทุกบานถูกปิดสนิท ฉะนั้นจงวิงวอนต่อพระองค์อย่าได้ทรงเปิดประตูต้อนพวกท่านเข้าไป ในเดือนนี้บรรดามารร้ายชัยฎอน(ซาตาน) ล้วนถูกจองจำ ฉะนั้นจงวิงวอนต่อพระองค์อย่าได้ทรงปล่อยให้พวกมันครอบงำพวกท่านได้"
................................................
จากเนื้อหาคำสอนของศาสดามุฮัมมัดดังกล่าว จึงไม่เป็นที่แปลกใจที่ชาวมุสลิมจะให้ความสำคัญต่อเดือนรอมฏอนเป็นพิเศษ และไม่รู้สึกหวาดผวาต่อข้อบัญญัติอดข้าวอดน้ำแต่อย่างใด เพราะพวกเขาตระหนักเสมอว่ามนุษย์คือนักเดินทาง อายุขัยคนเราในโลกนี้มีจำกัดมนุษย์ทุกคนจะเดินทางต่อไปโดยผ่านประตูแห่งความตาย และชีวิตหลังความตายนี้เองที่ทรัพย์สินเงินทองไม่มีค่าใดๆอีกต่อไป ความประพฤติอันดีงามทางศาสนาเท่านั้น ที่จะเปรียบเสมือนเงินสกุลเดียวที่ใช้ประโยชน์ได้
และในมุมมองของมุสลิม เดือนรอมฎอนและการถือศีลอดก็คือ...งานเลี้ยงที่พวกเขาต้องตระเตรียมเสบียงและออมเงินตราสกุลนี้ให้ได้มากที่สุดเพื่อมีชีวิตที่ผาสุกหลังความตาย ... อันเป็นนิรันดร์.