"...ในสมัยที่มุชริกมักกะฮฺเรืองอำนาจ การเข้าไปทำฮัจย์หรืออุมเราะฮฺนั้นเป็นเรื่องลำบากสำหรับมวลมุสลิม เพราะเจ้าผู้ครองเมืองนั้นไม่อนุญาตให้มุสลิมเข้าไปทำกิจใดๆ บริเวณกะอฺบะฮฺได้..
.. จึงเป็นที่มาของสนธิสัญญาอัลฮุดัยบียะฮฺ เพื่อทำการประนีประนอมระหว่างกัน โดยให้ศอฮาบะฮฺร่างสัญญาต่อหน้าตัวแทนของชาวกุเรช ท่านนบีให้เริ่มด้วย “บิสมิลละฮฺฮิรเราะฮฺมานิรเราะฮีม” ทว่า ตัวแทนของชาวมักกะฮฺนั้นกลับเข้าใจว่ามสลิมนั้นนับถือพระเจ้าหลายพระองค์ เพราะนอกจากนับถือพระเจ้าที่นามว่าอัลลอฮฺแล้ว ยังนับถือพระเจ้าที่มีนามว่าอัรเราะฮฺมานอีก (เพราะชาวมักกะฮฺไม่เคยทราบว่าอัลลอฮฺมีหลายนาม) เมื่อเป็นเช่นนั้นท่านรอซูลเกรงว่าจะเกิดความเคลือบแคลงในร่างสัญญา จึงสั่งให้ศอฮาบะฮฺเปลี่ยนเป็นคำว่า “บิสมีกัลลอฮฺ อัลลอฮุมมะ” อันเป็นนามที่ชาวกุเรชรู้จักเป็นอย่างดี...
หลังจากนั้นท่านนบีให้ศอฮาบะฮฺเขียนต่อไป “จากมูฮัมหมัด รอซูลของอัลลอฮฺ” ตัวแทนชาวกุเรชคนนั้นก็แย้งขึ้นมาอีกว่า ถ้าท่านเป็นรอซูลของอัลลอฮฺ ก็เท่ากับว่าสิ่งที่ฉันกระทำนี้เป็นการขัดขวางรอซูลของพระองค์นะสิ(มุชริกมักกะฮฺยอมรับการเป็นพระเจ้าของอัลลอฮฺ แต่ไม่ยอมรับการเป็นรอซูลของมุฮัมหมัด เพราะมุฮัมหมัดไม่ได้ร่ำรวย หรือเด่นดังอะไร พวกเขาเข้าใจว่ามุฮัมหมัดอุปโลกน์เรื่องการเป็นรอซูลขึ้น ) เมื่อเป็นเช่นนั้นท่านรอซูลก็สั่งให้เปลี่ยนอีก แม้นว่าจะมีศอฮาบะฮฺบางท่านไม่พอใจตัวแทนชาวกุเรชคนนี้มาก แต่มันคือการต่อรองระหว่างคนมีอำนาจมากกับคนไม่มีอำนาจ ท่านนบีจึงปรามศอฮาบะฮฺไว้ และสั่งให้ผู้ร่างสัญญาแก้เป็นคำว่า “จากมุฮัมหมัด บุตรของอับดุลลอฮฺ” ซึ่งเป็นชื่อที่ชาวกุเรชพอใจ ...
... สัญญาในครั้งนี้มุสลิมเสียเปรียบอย่างมาก แต่มุสลิมก็ทำตามสัญญาและภายหลังก็ได้รับประโยชน์อันมหาศาลจากสนธิสัญญาฉบับบนี้ ท่านเห็นไหมว่าท่านรอซูลของเรามีวิธีการที่สันติวิธี และอดทนในการเผยแพร่คำสอนมากมายขนาดไหน ...
-สรุปจากการสอนตัฟซีรนูรุ้ลเอียะฮฺซาน ซูเราะฮฺอัรเราะอฺดุ โดย บาบอ อิสมาแอล สปันญัง อัลฟาฏอนี-