Skip to main content

Original Link Clik Here .

 

ปณิธาน วัฒนายากร ชี้เหตุระเบิด 7 จังหวัดต้องดูแรงจูงใจ-กลุ่มที่สูญเสียจากพัฒนาการทางการเมือง

 

รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงบอกกับบีบีซีไทยว่า การพิจารณาที่มาของการก่อเหตุวางระเบิดเมื่อวันที่ 11-12 ส.ค.ที่ผ่านมาจะมองเฉพาะในด้านเทคนิคเช่นวิธีการปฏิบัติการไม่ได้ แต่ต้องดูมูลเหตุจูงใจด้วยหากต้องการมองหาคนที่มีบทบาทสำคัญในการลงมือ

 

เรื่องที่มีผู้วิเคราะห์ว่าระเบิด 7 จังหวัดครั้งนี้เป็นการกระทำของกลุ่มบีอาร์เอ็นนั้น นายปณิธานกล่าวว่าบีอาร์เอ็นไม่น่าจะได้ประโยชน์แต่อย่างใดจากการลงมือดังกล่าว “การลงมือหนนี้เขาจะไม่ได้ประโยชน์อะไร ทั้งยังสุ่มเสี่ยงต่อการถูกจับ บีอาร์เอ็นในพื้นที่เองก็ยังมองว่าตัวเองกำลังจะชนะ การขยายพื้นที่ออกมาปฏิบัติการข้างนอกมีแต่จะสร้างแรงต้านจากประชากรทั้งประเทศ บีอาร์เอ็นเขาต้องการแนวร่วมในไทยและมุสลิมนอกพื้นที่สามจังหวัด เขาไม่เคยโจมตีไทยแบบนั้น ส่วนเรื่องเทคนิคมาจากภาคใต้ไม่ใช่เรื่องแปลก เดี๋ยวนี้มันสามารถลอกกันได้ แม้แต่ทางอินเทอร์เน็ต”

 

นายปณิธานชี้ให้เห็นว่าก่อน 7 ส.ค.มีการก่อเหตุรุนแรง แต่ก็ยังเป็นเรื่องในพื้นที่ เพราะการออกนอกพื้นที่นั้นเป็นเรื่องสุ่มเสี่ยง และผลที่ได้ต่ำ “จะมีคนดูแคลนว่าทำได้แค่นี้เองหรือ แต่ถ้าหวังผลทางการเมืองก็ต้องรีบออกมาแสดงความรับผิดชอบเพราะไม่เช่นนั้นจะไม่ได้ผล คนจะรู้สึกก้ำกึ่งกันว่าเป็นเรื่องการลงมือของใครกันแน่ หากเขาลงมือจริงและหวังผลทางการเมืองเขาต้องรีบออกมาประกาศ”

 

นายปณิธานกล่าวอีกว่า แม้บีอาร์เอ็นจะเคยออกนอกพื้นที่มาแล้ว แต่ไม่ใช่กลุ่มใหญ่หรือกลุ่มหลัก เป็นกลุ่มย่อยๆภายใน เนื่องจากบีอาร์เอ็นนั้นแตกแยกออกเป็นหลายฝ่าย จึงอาจจะมีบางส่วนที่แยกตัวและรับงานไปลงมือทำก็ได้ “เขาเคยไปภูเก็ต เคยมากรุงเทพฯ สิบกว่าปีที่แล้วเคยมาวางระเบิดรถเมล์ แต่เป็นกลุ่มย่อยที่แยกตัวออกมา อาจจะถูกจ้างมา บ้างก็อาจจะต้องการสร้างผลงาน แต่กลุ่มหลักไม่เกี่ยว”

 

ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงชี้ว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาบีอาร์เอ็นลงมือเฉพาะในสามจังหวัดและสี่อำเภอของสงขลา หากการวางระเบิด 7 จังหวัดเป็นฝีมือบีอาร์เอ็นจริงจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่บีอาร์เอนน่าจะประกาศออกมา “ถ้าเขาเปลี่ยนวิธีการ ถ้าเขาต้องการยกระดับเป็นการทำสงครามขนาดใหญ่ เขาต้องประกาศ การที่เขาไม่ประกาศมันเป็นเรื่องของวิธีการแบบเก่า ถ้าเขาพร้อมจะประกาศสงครามใหญ่เขาต้องประกาศ และส่วนใหญ่เขาจะทำอย่างนั้นกันเมื่อคิดว่าจะแพ้ในพื้นที่ แต่นี่เขาคิดว่าเขากำลังจะชนะ”

 

นอกจากนี้ นายปณิธานกล่าวว่า พัฒนาการในพื้นที่ภาคใต้นั้นขณะนี้ยังคงมีการพูดคุยกันอยู่ระหว่างรัฐบาลและกลุ่มมารา ปาตานี เขาอธิบายว่า แรงจูงใจของการลงมือด้วยมูลเหตุว่าต้องการผลักดันกระบวนการพูดคุยนับว่ายังเป็นไปได้น้อย เพราะจนถึงขณะนี้รัฐบาลและมารา ปาตานียังคงคุยกันอยู่ สิ่งที่กลุ่มมารา ปาตานีต้องการคือ การกำหนดให้กระบวนการสันติภาพเป็นวาระแห่งชาติ ให้รับรองกลุ่มมารา ปาตานี และยืนยันเรื่องการกำหนดชะตากรรมของตนเอง บางเรื่องไทยก็ทำ เช่นในเรื่องกำหนดให้การแก้ปัญหาภาคใต้เป็นวาระแห่งชาติ และไทยระบุแล้วว่าจะดูแลในเรื่องความปลอดภัย คุ้มครองคนในทีมพูดคุยถ้าเดินทางเข้าประเทศ แม้จะไม่ยอมรับเรื่องกำหนดชะตากรรมตนเองก็ตาม “เพราะฉะนั้นถ้าจะบอกว่าการพูดคุยชะงัก แต่ก็ไม่มากเพราะยังคุยกันอยู่”

 

ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า การวางระเบิดระลอกนี้ชัดเจนว่ามีแรงจูงใจทางการเมือง ต้องการจะสร้างสถานการณ์และใช้สถานการณ์ทางการเมือง ดังนั้นจึงต้องดูว่ากลุ่มการเมืองต่างๆใครที่เสียประโยชน์มากที่สุดจากพัฒนาการทางการเมืองที่กำลังดำเนินไป เขาชี้ว่าก่อนการลงประชามติ คะแนนนิยมของนายกรัฐมนตรีสูงมากในฐานะของคนที่มาผลักดันประเด็นปัญหาและเดินหน้าต่อไป แม้แต่ในภาคอีสาน การลงประชามติเมื่อ 7 ส.ค.ผลที่ออกมาถือว่าดีมาก โดยเฉพาะกับเรื่องของคำถามพ่วง “คนส่วนใหญ่อาจจะไม่รู้เรื่องกฎหมาย ก็มักจะลงให้ผ่านเพราะอยากให้มีการเลือกตั้ง แต่คำถามที่ 2 เป็นความคิดของคสช.โดยตรง เรื่องของกลไกการเปลี่ยนผ่าน คะแนนชี้ชัดคสช.มีคะแนนนิยมสูง คะแนนนิยมของนายกรัฐมนตรีมันเป็นเรื่องที่น่ากลัวสำหรับคนบางกลุ่ม คุกคามคนหลายกลุ่ม ก็ต้องไปแยกว่าคนกลุ่มไหนบ้าง”

 

“ถ้าในเรื่องการเมืองก็ถือว่าเป็นการคุกคามอำนาจเดิม คุกคามคนติดคดีต่างๆจำนวนมากหลายคดีไม่ว่าคดีหมิ่น คดีโกงกิน เรื่องของผู้มีอิทธิพล การจับกุมต่างๆ การจัดระเบียบพื้นที่ที่มีผู้มีอิทธิพลคุมที่มีคนเสียประโยชน์ บางกลุ่มที่เสียประโยชน์อาจจะไม่รุนแรงถึงขั้นทำอะไรเช่นนี้ จึงต้องดูกลุ่มที่จะมีศักยภาพทำได้ “

 

เมื่อถามว่าหากเป็นกลุ่มเสื้อแดงลงมือ จะมีเวลาเตรียมตัวก่อเหตุในระดับนี้หรือไม่ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีชี้ว่า ในส่วนของเสื้อแดงมีกลุ่มฮาร์ดคอร์ที่มีเครือข่าย แม้ว่าแกนนำจะเคลื่อนไหวในเรื่องเช่นนี้ไม่ได้แต่อาจจะมีเครือข่ายบางส่วนที่ทหารมองข้ามไป และอาจเตรียมแผนล่วงหน้าเป็นเดือนหรือสองเดือน ไม่เช่นนั้นองค์กรจากต่างประเทศเช่นสหรัฐฯจะไม่ออกมาเตือนให้ระมัดระวัง เมื่อถามว่าเสื้อแดงถูกกวาดล้างและจับตาจะสามารถเคลื่อนไหวได้หรือ นายปณิธานชี้ว่า ทหารไม่อาจคุมคนได้ทั้งหมด

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงเรื่องที่มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะเป็นการร่วมมือกันระหว่างเสื้อแดงและกลุ่มก่อเหตุในภาคใต้จะเป็นไปได้เพียงใด “ผมว่าไม่ควรตั้งทฤษฏีที่จะทำให้เกิดการปะทุของความขัดแย้งเดิมๆ ด้วยการเอาปรากฎการณ์ใหม่ๆไปจับ การพูดแบบไม่อยู่บนหลักฐานข้อเท็จจริงก็แสดงว่าเราหยุดนิ่งไม่พัฒนา แต่ผมว่าพัฒนาการยังมี ผมว่าต้องดูข้อเท็จจริง พวกฮาร์ดคอร์มีอยู่แค่ไหน แม้ทหารจะสามารถคุมได้แต่พวกนี้ยังไม่หยุด”

 

ในส่วนของต่างประเทศจะมีความเป็นไปได้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องบ้างหรือไม่ เช่นกลุ่มที่เรียกตัวเองว่ารัฐอิสลามหรือไอเอส นายปณิธานชี้ว่า การเกี่ยวข้องโดยตรงมีแนวโน้มน่าจะต่ำยกเว้นว่าเป็นการเกิดใหม่ของกลุ่มไอเอสและเข้ามาขยายผล แต่ที่ผ่านมาความพยายามของกลุ่มนี้ที่จะดำเนินการในประเทศใกล้เคียงที่มีฐานมากกว่าไทยอย่างเช่นมาเลเซีย สิงคโปร์ยังไม่ค่อยได้ผล ของไทยยังไม่มีเครือข่ายชัดเจน