Original Link Clik Here .
เครือข่ายครูสอนศาสนาและประชาสังคมภาคใต้ยื่นหนังสือให้ผู้ว่าฯ ปัตตานี แถลงเหตุผลคนชายแดนใต้ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ยืนยันไม่มีการบิดเบือนแต่ไม่รับเพราะเนื้อหา
วันนี้ 15 ส.ค. สมาชิกของเครือข่ายครูสอนศาสนา โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามหรือโรงเรียนปอเนาะ รวมถึงเครือข่ายสตรีและภาคประชาสังคมในชายแดนใต้ราว 300 คนได้รวมตัวกันละหมาดฮายัตที่มัสยิดกลางปัตตานี พร้อมนัดอ่านแถลงการณ์ชี้แจงเหตุผลโต้ข่าวที่ออกมาก่อนหน้านี้ว่า มีการบิดเบือนเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญทำให้ผลการลงคะแนนเสียงประชามติในจังหวัดชายแดนภาคใต้ออกมาไม่รับร่าง
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการจัดงาน ผู้นำเครือข่าย 4 คนได้ถูกเจ้าหน้าที่เชิญตัวไปเจรจาที่จวนผู้ว่าราชการจังหวัด ทำให้กลุ่มผู้จัดงานตัดสินใจยกเลิกการอ่านแถลงการณ์ หันไปยื่นจดหมายให้กับผู้ว่าราชการจังหวัด ปัตตานีแทน โดยเนื้อหาของจดหมายระบุว่า การที่ประชาชนในจังหวัดชายแดนใต้ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญเป็นการตัดสินใจหลังจากที่ได้อ่านร่างแล้ว และผู้นำศาสนาไม่ได้บิดเบือนเนื้อหาร่างแต่อย่างใด เพียงแต่ส่งบทบัญญัติมาตราที่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับคนในพื้นที่ให้อ่านโดยเป็นการคัดลอกแบบคำต่อคำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมวดเกี่ยวกับสิทธิในการนับถือศาสนา สิทธิทางการศึกษา และสิทธิด้านสาธารณสุข
นายมังโสด หมะเต๊ะ ประธานองค์กรสังเกตการณ์ลงประชามติจังหวัดแดนภาคใต้เผยว่า ตามกำหนดเดิมนั้น เครือข่ายทั้งหมด ซึ่งประกอบด้วย กลุ่มโรงเรียนตาดีกา โรงเรียนปอเนาะ โรงเรียนสอนศาสนา และกลุ่มสตรีจะรวมตัวกันที่มัสยิดกลาง จ.ปัตตานี เพื่อละหมาดฮายัต เพื่อขอให้เกิดสันติสุข แล้วจากนั้นจะอ่านแถลงการณ์ชี้แจงถึงสาเหตุที่คนในจังหวัดชายแดนใต้ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ แต่สมาชิกบางคน เช่น นายกสมาคมสถาบันปอเนาะ ประธานสมาพันธ์ครูสอนศาสนาจังหวัดชายแดนใต้ ประมาณ 3-4 คนไม่สามารถเดินทางมาถึงมัสยิดกลางได้ เนื่องจากผู้ว่าราชการจังหวัดเชิญไปพบที่จวน จึงได้เปลี่ยนรูปแบบกิจกรรมที่มัสยิดกลางเป็นการละหมาฮายัตแทนเพื่อขอให้เกิดความสันติสุข หลังจากนั้นจึงไปยื่นหนังสือให้กับเจ้าหน้าที่ที่จวนผู้ว่าราชการจังหวัด และแถลงการณ์ที่เตรียมไว้นั้น ก็ต้องเปลี่ยนเป็นจดหมายเปิดผนึกแทนแต่เนื้อหาอันเดียวกัน
นายมังโสดระบุว่าสาเหตุที่เครือข่ายฯ ต้องออกมาแสดงจุดยืนก็เพราะที่ผ่านมามีข่าวว่า สาเหตุที่ประชาชนในสามจังหวัดชายแดนใต้ ลงประชามติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญเนื่องจากกลุ่มผู้นำศาสนา และโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามไปบิดเบือนข้อมูลจนทำให้ประชาชนในพื้นที่ไม่รับร่างฯ ซึ่งในข้อเท็จจริงนั้น ผู้นำศาสนาไม่ได้บิดเบือนข้อมูล เผยแพร่เนื้อหาตามในร่างรัฐธรรมนูญ พร้อมกับชี้ว่า การไม่รับร่างฯ ไม่ใช่เพราะคนเหล่านี้บิดเบือนข้อมูล แต่เป็นเพราะความเข้าใจของประชาชนที่ได้อ่านเนื้อหาจากเอกสารที่ผู้นำศาสนาส่งไปให้ ก่อนหน้านี้ประชาชนไม่ได้รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับสมบูรณ์เพื่อนำไปศึกษาแต่อย่างใด
นายมังโสดกล่าวอีกว่า มาตราที่สำคัญๆ ที่ครูสอนศาสนาและผู้นำทางศาสนาเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับทราบโดยคัดลอกแบบคำต่อคำ ได้แก่ มาตรา 31 และ 67 และมาตราที่เกี่ยวกับการศึกษา ได้แก่มาตรา 54 และมาตราที่เกี่ยวข้องกับสิทธิด้านการสาธารณสุข และสิทธิในการรักษารักษาพยาบาล
สำหรับมาตรา 31 ของร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านการเห็นชอบไปเมื่อวันที่ 7 ส.ค. นั้น บัญญัติว่า “บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการนับถือศาสนาและย่อมมีเสรีภาพ ในการปฏิบัติหรือประกอบพิธีกรรมตามหลักศาสนาของตน แต่ต้องไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของปวงชนชาวไทย ไม่เป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของรัฐ และไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน”
และมาตรา 67 บัญญัติว่า “รัฐพึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาที่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถือมาช้านาน รัฐพึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาทเพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา และต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใด และพึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการดำเนินมาตรการหรือกลไกดังกล่าวด้วย"
ในจดหมายเปิดผนึกถึงผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี เนื้อหาส่วนหนึ่งระบุว่า ผู้นำด้านการศึกษาและศาสนาได้ทำงานอย่างหนักด้วยการค้นคว้าหาข้อมูลจากแหล่งและสื่อต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือร่างรัฐธรรมนูญซึ่งไม่ได้รับการแจกจ่าย เพื่อจะได้นำมาศึกษาและเผยแพร่อย่างถูกต้องในหมู่มุสลิม ขณะเดียวกันก็ได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านรัฐธรรมนูญมาบรรยายให้ความรู้ประกอบด้วย โดยเฉพาะในมาตราที่เกี่ยวข้องกับศาสนา การศึกษา สาธารณสุข รวมถึงประเด็นอื่นๆ ที่พบว่าสิทธิของประชาชนต่ำกว่าที่กำหนดไว้ใน รัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2540 และ พ.ศ. 2550 นอกจากนี้ การที่ในช่วงใกล้วันออกเสียงประชามติ กกต. ได้จัดส่งจุลสารประชาสัมพันธ์ซึ่งมีเนื้อหาไม่สอดคล้องกับร่างรัฐธรรมนูญหลายส่วน ถือเป็นการหลอกลวงและผิดหลักการศาสนาอิสลาม จึงเป็นเหตุให้ประชาชนส่วนใหญ่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้และอำเภอใกล้เคียงที่นับถือศาสนาอิสลามไม่เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญรวมถึงคำถามพ่วงในที่สุด แม้จะมีเจ้าหน้าที่รัฐพยายามโน้มน้าวชักจูงให้เห็นชอบก็ตาม
“ประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้เห็นว่าร่างรัฐธรรมนูญในเนื้อหาด้านการบริหารและการปกครองไม่มีการกระจายอำนาจและให้สิทธิแก่ชาวมุสลิมมลายู รวมถึงไม่สอดคล้องกับอัตลักษณ์และบริบทของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งประชาชนรวมถึงกลุ่มและองค์กรในพื้นที่ได้เคลื่อนไหวเรียกร้องมาอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นอีกสาเหตุที่พวกเราไม่เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญรวมถึงคำถามพ่วง” จดหมายเปิดผนึกระบุ
ภายหลังจากยื่นหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีแล้ว เครือข่ายทั้งหมดได้แยกย้ายกันเดินทางกลับรวมถึงผู้นำศาสนาที่ถูกเชิญตัวมายังจวนผู้ว่าราชการจังหวัดก่อนหน้านั้น
ขอบคุณรูปบางส่วนจากแฟนเพจและจากเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง