Skip to main content

 

เมื่อถูกรุกราน การต่อสู้คือคุณธรรม

 

บรรจง บินกาซัน

 

 

ถ้ามีคนรังแกคุณและคนในครอบครัวของคุณ เอาหินขว้างบ้านคุณ พังรั้วและบุกรุกเข้าไปทำลายทรัพย์สินของคุณและขับไล่คุณออกจากบ้านที่คุณอยู่มาเป็นเวลาหลายชั่วคน คุณจะทำอย่างไรเมื่อไปแจ้งตำรวจแล้ว ตำรวจกลับไม่กล้าจับกุมคนที่ล่วงละเมิดสิทธิของคุณ?

ขายบ้านแล้วหนีไปอยู่ที่อื่น วิธีการนี้อาจเป็นไปได้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้สำหรับคุณ เพราะเมื่อคุณย้ายไปแล้ว เพื่อนบ้านและญาติพี่น้องของคุณจะถูกพวกอันธพาลคุกคามด้วยความกำเริบเสิบสานเพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถจัดการอันธพาลพวกนี้ได้ มิหนำซ้ำยังทำเป็นมองไม่เห็นพฤติกรรมชั่วของอันธพาลพวกนี้

หนทางเดียวที่เหลืออยู่ในสัญชาติญาณของมนุษย์เมื่อต้องประสบเหตุการณ์เช่นนี้ก็คือ สู้ สู้เพื่อปกป้องทรัพย์สินและชีวิตของคนในครอบครัวและญาติพี่น้องแม้ตัวเองจะต้องตายก็ยอม ไม่เช่นนั้น พวกอันธพาลก็จะได้ใจ

พฤติกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นในสังคมมนุษย์มาตั้งแต่ในอดีต ปัจจุบันก็ยังเกิดขึ้นซึ่งเราสามารถเห็นได้ในกรณีรัฐบาลอิสราเอลที่พยายามขับไล่ชาวปาเลสไตน์ออกจากแผ่นดินที่พวกเขาเคยอยู่อาศัยมานานนับพันปี

เมื่อสามัญสำนึกของมนุษย์บอกว่าการรุกราน การกดขี่ข่มเหงเป็นความอธรรม ด้วยเหตุนี้ ศาสนาจึงมีหลักการที่ยอมรับสามัญสำนึกของมนุษย์ว่าการต่อสู้ผู้กดขี่ข่มเหงและผู้รุกรานคือความชอบธรรม ความขี้ขลาดหรือการยอมจำนนจึงไม่ใช่คุณธรรมในยามถูกกดขี่ข่มเหงหรือถูกรุกราน แต่การต่อสู้ต่างหากคือคุณธรรม

เหตุผลและความจริงดังกล่าวคือที่มาของการ “ญิฮาด” ในอิสลามและมีการปฏิบัติให้เห็นเป็นแบบอย่างในชีวประวัติของนบีมุฮัมมัด

เมื่อนบีมุฮัมมัดเริ่มเผยแผ่อิสลามในเมืองมักก๊ะฮฺ พวกหัวหน้าชาวเมืองได้ต่อต้านท่านและบรรดาสาวกด้วยวิธีการที่รุนแรง กระนั้นก็ตาม ท่านนบีมุฮัมมัดได้กำชับสาวกของท่านมิให้ยกแม้แต่กำปั้นขึ้นต่อสู้ แต่ให้อดทนและวิงวอนขอความช่วยเหลือต่อพระเจ้า จนเมื่อท่านต้องอพยพออกจากเมืองมักก๊ะฮฺไปยังเมืองยัษริบและยังถูกติดตามราวีบีฑาอีก พระเจ้าจึงได้ถามท่านนบีและบรรดาสาวกของท่านว่า “ทำไมสูเจ้าจึงไม่ต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺเพื่อผู้ชาย ผู้หญิงและเด็กที่อ่อนแอและถูกกดขี่?” (กุรอาน 4:75)

หลังจากนั้น คำอนุญาตให้ต่อสู้ผู้กดขี่ข่มเหงและผู้รุกรานก็ถูกประทานมาว่า “สำหรับบรรดาผู้ถูกโจมตีนั้นได้รับอนุญาตให้ต่อสู้ เพราะพวกเขาถูกกดขี่ข่มเหง” (กุรอาน 22:39)

เหตุผลอีกประการหนึ่งในการอนุญาตให้ต่อสู้ก็คือ “ถ้าหากอัลลอฮฺไม่ทรงกำราบคนหมู่หนึ่งโดยอาศัยคนอีกหมู่หนึ่ง สถานที่บำเพ็ญภาวนา โบสถ์ สุเหร่าและมัสญิดซึ่งเป็นสถานที่ที่มีการกล่าวคำระลึกถึงพระนามของพระเจ้าจะถูกทำลาย” (กุรอาน 22:40)

การสู้รบในภูมิภาคตะวันออกกลางเป็นปรากฏการณ์ที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าผู้คนและบางประเทศในภูมิภาคนั้นถูกชาติตะวันตกรุกรานโดยที่ผู้คนและประเทศเหล่านั้นไม่เคยไปรุกรานชาติตะวันตกเลย ดังนั้น การต่อสู้เพื่อต่อต้านการรุกรานจึงเป็นเรื่องชอบธรรมและเป็นคุณธรรมตามคำสอนของศาสนา

ทุกวันนี้ สงครามรุกรานมิได้กระทำด้วยอาวุธเพียงอย่างเดียว แต่ยังทำกันในแนวรบด้านสื่อสารมวลชนอีกด้วย และทุกครั้งเกิดสงคราม สิ่งแรกที่ถูกสังหารก่อนก็คือความจริง

ก่อนจะรุกรานหรือยึดครองชาติใด ชาติตะวันตกผู้รุกรานจะใส่ร้ายป้ายสีชาตินั้นว่าเป็นผู้ก่อการร้าย เป็นภูตผีปีศาจที่โลกจะต้องช่วยกันทำลายโดยอาศัยภาพยนตร์ที่ผลิตจากฮอลลีวูดและสื่อสารมวลชนแขนงต่างๆเป็นสื่อนำความเท็จไปสู่ชาวโลก เมื่อเข้าไปรุกรานชาตินั้นแล้วก็ใช้สื่อเรียกร้องความเห็นใจที่ตัวเองไปรุกรานชาตินั้นไม่ต่างไปจากอันธพาลที่หาเรื่องกระทืบคนอ่อนแอกว่าแล้วยังเสแสร้งแกล้งร้องให้คนอื่นมาช่วยรุมกันกระทืบให้ตายคาตีน

ไม่มีศาสนาใดที่สอนให้มนุษย์ยอมจำนนต่อการกดขี่และการถูกรุกราน ยิ่งเป็นเรื่องความศรัทธาด้วยแล้ว ทุกศาสนาล้วนมีคำสอนให้ศาสนิกต้องปกป้องหลักธรรมไว้ด้วยชีวิต

พุทธภาษิตสอนว่า “บุคคลพึงสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ พึงสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต และพึงสละชีวิตเพื่อรักษาธรรม”

นั่นหมายความว่าธรรมมีค่ายิ่งกว่าชีวิต

ในภควัตคีตา บทที่ 2 โองการที่ 31-33 กฤษณะบอกอรชุนว่า :-

“เมื่อพิจารณาถึงหน้าที่เป็นกษัตริย์ เจ้าต้องรู้ว่าไม่มีการต่อสู้อะไรสำหรับเจ้าจะดีไปกว่าการต่อสู้เพื่อหลักการศาสนา ดังนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องลังเล”

“โอ้ พารถะ ความสุขเป็นของกษัตริย์ที่โอกาสการต่อสู้เช่นนั้นมาถึงโดยไม่ต้องแสวงหา เป็นการเปิดประตูของดวงดาวแห่งสวรรค์ให้พวกเขา”

“อย่างไรก็ตาม ถ้าเจ้าไม่ต่อสู้สงครามศาสนานี้ เจ้าจะมีบาปอย่างแน่นอนเพราะการละทิ้งหน้าที่ของเจ้า แล้วเจ้าจะสูญเสียชื่อเสียงในฐานะเป็นนักต่อสู้”

สำนักเส้าหลินยังให้พระและเณรในสำนักฝึกวิทยายุทธไว้เพื่อเตรียมพร้อมที่จะเผชิญกับการรุกรานจากภายนอก ในอดีต พระสงฆ์ไทยบางรูปก็มีบทบาทสำคัญในการปกป้องการรุกรานจากอริราชศัตรูและมีส่วนรักษาประเทศไทยไว้จนกระทั่งทุกวันนี้

การต่อสู้จึงเป็นคุณธรรมและเป็นเรื่องธรรมดาในยามที่ถูกกดขี่และถูกรุกราน