Skip to main content
 
 
 
Deep South Bookazine :  mso-ascii-font-family:"Times New Roman";mso-hansi-font-family:"Times New Roman"">มิถุนายน 52, Volume 4
mso-hansi-font-family:"Times New Roman"">คอลัมน์ : ekonomi kampong
mso-hansi-font-family:"Times New Roman"">เรื่อง : ณรรธราวุธ เมืองสุข

 

ภาพ : นครินทร์ ชินวรโกมล

 

การตั้งร้านทองสักร้านไม่ใช่เรื่องง่าย เศรษฐีมีเงินเท่านั้นจึงจะทำได้อย่างหวัง แต่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ คนมุสลิมจำนวนไม่น้อย กำลังอยากมีร้านทองเป็นของตนเอง และจำนวนไม่น้อยที่มีแล้ว กำลังรู้ซึ้งถึงการแข่งขันในธุรกิจประเภทนี้ว่าหนักหนาเพียงใด และกำลังกระเสือกกระสนเพื่อเอาตัวรอดให้ได้ในตลาดอัญมณีสูงค่าดังกล่าว

เพราะธุรกิจที่ผูกโยงกับวิถีชีวิตที่มีเอกลักษณ์ของตนเอง ยังต้องต่อสู้กันในกระแสธารทุนนิยม ที่ต้องใช้เงินเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อน

ตลาดทองคำในจังหวัดชายแดนภาคใต้ถือเป็นตลาดใหญ่แห่งหนึ่งของประเทศ ใช่ว่าคนส่วนใหญ่ซึ่งมีอาชีพกรีดยางจะเป็นเศรษฐีมีเงินกันมากมาย แต่แง่มุมทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิตเอื้อให้เกิดผลเช่นนั้น

การขายดิบขายดีของกิจการร้านค้าทองคำในจังหวัดชายแดนภาคใต้ทำให้มีผู้ค้าเกิดขึ้นมากมาย ทั้งคนจีนที่ยึดครองตลาดส่วนใหญ่มานาน และร้านทองมุสลิมที่เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงหลัง

 

วันที่ ฮามีด๊ะ ซูสารอ เดินทางจากกรุงเทพมหานครกลับมาเยี่ยมบ้านเกิดในช่วงเทศกาลฮารีรายอเมื่อหลายปีก่อน นับว่าเป็นวันที่ประกายความคิดเรื่องการทำร้านทองในจังหวัดยะลาลุกโชน เธอมีหัวการค้าอยู่แล้วเพราะทำธุรกิจนำเข้าและส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปมานาน แต่เธอมองเห็นโอกาสจากการทำร้านทอง จนลงทุนเรียนต่อด้านอัญมณีศาสตร์ (Gemologist) โดยตรงจนจบ เพราะเชื่อมั่นว่านั่นคือโอกาสที่เธอจะได้กลับมาอยู่บ้านและทำธุรกิจหล่อเลี้ยงชีวิตครอบครัวได้อย่างไม่ลำบาก

หลังใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ มาตั้งแต่ปี 2522 เธอจึงกลับมาเปิดร้านทอง ฮามีด๊ะ ตามชื่อตนเองที่จังหวัดยะลาเมื่อ 8 ปีก่อน

ช่วงแรกเธอตั้งใจลงมาเปิดโรงงานเสื้อผ้า เพราะเคยทำธุรกิจเกี่ยวกับการนำเข้าและส่งออกสินค้าประเภทนี้มาก่อน แต่เมื่อการเดินทางลงมาบ้านเกิดในช่วงเทศกาลรายอแล้วเล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจทางด้านนี้ จึงเลือกเปิดร้านทองเป็นของตนเอง

เราเห็นว่าคนมุสลิมชอบใส่ทอง แต่ไม่มีร้านทองเป็นของตนเอง ในเมืองยะลามีแต่ร้านของคนจีนทั้งนั้น มาเปิดใหม่ๆ ไม่ได้มีความรู้อะไรเลย ต้องลงเรียนหลักสูตรด้านการจัดการอัญมณี แต่คนมุสลิมส่วนใหญ่เชื่อมั่นในคนจีนมากกว่า เพราะเป็นต้นตำหรับ แต่บางคนก็อยากอุดหนุนคนมุสลิม เพราะรู้ว่าร้านมุสลิมทำอย่างถูกต้องตามหลักการศาสนาเธอเล่าถึงที่มาของร้านทอง

เธอยังบอกว่ายางพาราคือรากฐานชีวิตของคนชายแดนใต้ ถ้าราคายางดี มันส่งผลดีต่อภาพรวมของเศรษฐกิจทั้งหมด คนใช้จ่ายเยอะขึ้น แต่ขณะนี้ราคายางขึ้นลงเร็วมาก และยังมีปัจจัยธรรมชาติคือฝนฟ้าอากาศที่ไม่สามารถควบคุมได้ เธอบอกว่าจึงไม่อยากให้มีเรื่องความรุนแรงเข้าไปทำร้ายพี่น้องชาวสวนยางอีก

เจ้าของร้านทองฮามีด๊ะพูดถึงพัฒนาการของร้านทองมุสลิมว่า โดยส่วนใหญ่คนที่เปิดเคยเป็นช่างกันมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นช่างทอง ช่างแหวน อย่างคนจีนสืบทอดกันรุ่นต่อรุ่น  แต่คนมุสลิมเพิ่งได้เริ่มต้น จึงเริ่มด้วยการเป็นช่างมาจากกรุงเทพฯ

เธอให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า ในตัวเมืองมีร้านทองคนมุสลิมเพียง 4 ร้านเท่านั้น แต่ในตัวอำเภอรอบนอกมีร้านทองของคนมุสลิมกระจายอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ทั่ว 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ค่อนข้างเยอะ และมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกปี

 พอเป็นช่างนานๆ ก็อยากทำของตัวเองบ้าง เขามีเงินนะ และรู้ด้วยว่าคนที่บ้านเกิดมีกำลังซื้อ จึงกลับมาเปิด โดยส่วนตัวก๊ะเองไม่เคยเป็นช่าง มาเรียนเอาทีหลัง แต่เราเป็นคนทำธุรกิจ จึงเข้าใจระบบการค้าขายมากกว่าคนที่เคยเป็นช่าง คนพวกนี้จะมีปัญหาในการบริหารจัดการ  ร้านทองมุสลิมส่วนใหญ่ที่เปิดก็ขายคนในชุมชน ไม่ได้พัฒนาเรื่องการบริการเท่าไหร่ อาศัยว่ามีคนในชุมชนช่วยอุดหนุน จึงพออยู่รอดได้

เจ้าของร้านทองฮามีด๊ะบอกว่าเพราะคนมุสลิมยังยึดติดกับความคิดเก่าว่า ถ้าทองต้องเป็นร้านคนจีน เพราะขายมานานน่าเชื่อถือกว่าร้านมุสลิม และร้านทองคนจีนสามารถต่อรองราคาได้มากกว่า เพราะยังมีทองคำมือสองขายอีกด้วย

คนมุสลิมเขาเชื่อคนแก่ สังเกตง่ายๆ ว่าร้านไหน คนแก่ขาย เขาชอบเข้าร้านมากกว่าร้านคนหนุ่มสาว มันเป็นอย่างนี้จริงๆ คนจีนเขาขายมานานจึงได้รับความนิยมมากกว่า คงอีกนานกว่าร้านทองมุสลิมจะเป็นที่นิยมในสังคมมุสลิมด้วยกันเอง ไหนจะระบบการค้าขายที่แตกต่างกัน ตรงนี้ก็เป็นเรื่องน่าหนักใจของร้านทองมุสลิม

 

ร้านทองในชุมชนนอกเมืองที่กำลังผุดขึ้นมามากมายในระยะหลายปี หนึ่งในเจ้าของกิจการนั้นคือ แบมะแห่ง ร้านทองมาดีนะห์ ซึ่งเปิดร้านอยู่บริเวณตลาดปาลัส อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี

ก่อนหน้านี้เคยเป็นช่างทองมาก่อน ไปทำอยู่ที่กรุงเทพฯ หลายปี พอมีประสบการณ์ก็อยากทำร้านเป็นของตัวเองบ้าง เริ่มเก็บทุนได้ก็ลงมาเปิดร้านเมื่อปีกว่าๆ นี่เอง แบมะย้อนที่มาของร้านให้ฟัง 

เขาเกิดและโตอยู่ในชุมชน ทำให้รู้ว่าทองคำเป็นเครื่องประดับยอดนิยมของคนมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เขามั่นใจว่าอาชีพนี้ไม่มีวันอดตาย

ถ้าไม่ใช่ช่วงเทศกาล บางช่วงก็เงียบ บางช่วงก็ขายได้ แต่โดยรวมๆ มันพอยังไปได้ วันหนึ่งๆ ขายได้สักสองสามบาทก็พออยู่ได้แล้ว ร้านของผมไม่ใช่ร้านใหญ่ ทำเล็กๆ ไว้เลี้ยงครอบครัว เขาบอก

ทองคำที่ร้านมาดีนะห์ทั้งหมดสั่งมาจากร้านทองในอ.หาดใหญ่  จ.สงขลา เนื่องจากเป็นกิจการเล็กๆ จึงไม่ต้องสั่งตรงมาจากเยาวราช  แต่ผ่าน เถ้าแก่ ในหาดใหญ่มาอีกทอด

แบมะเล่าถึงเรื่องระบบจำนำที่กำลังเป็นคำถามอยู่ในวงการค้าทองของสังคมมุสลิมชายแดนภาคใต้ว่า ขณะนี้บางร้านก็ทำระบบจำนำขึ้นมา โดยมีโต๊ะครูเป็นที่ปรึกษา และเรียกระบบนี้ว่า การรับฝากซึ่งไม่มีเรื่องดอกเบี้ย

คนมุสลิมเองก็สบายใจ ซึ่งเมื่อก่อนร้านคนจีนเปิดระบบจำนำแบบสากลขึ้น ซึ่งผิดต่อหลักชารีอะห์ตรงที่มีดอกเบี้ย ด้วยความจำเป็นทำให้คนมุสลิมจำนวนมากต้องยอมใช้บริการ แต่ขณะนี้เมื่อเกิดร้านทองของคนมุสลิมขึ้นมาและเปิดระบบนี้ขึ้นมารองรับความต้องการ จึงทำให้ไปใช้บริการกันมากขึ้น แต่ร้านของผมไม่ได้เปิดรับฝาก เพราะไม่มีความพร้อม

เขาบอกอีกว่า การต่อสู้ทางธุรกิจค้าทองคำคนมุสลิมมักสู้คนจีนไม่ได้อยู่แล้ว หากแต่ทำให้ร้านทองคำของคนมุสลิมถูกต้องตามหลักการศาสนา และได้รับการเผยแพร่ออกไปให้พี่น้องมุสลิมได้รับรู้ ย่อมส่งผลดีมากกว่าที่เป็นอยู่อย่างแน่นอน

 

ในขณะที่ธุรกิจร้านทองในจังหวัดชายแดนภาคใต้กำลังแข่งขันกันเข้มข้นขึ้นทุกวัน มีข้อมูลเพิ่มเติมจาก เอเย่นต์ ค้าทองคำรายหนึ่งจากเยาวราชที่ไม่ต้องการเปิดเผยชื่อ ระบุว่าตลอดเกือบ 20 ปีที่ยังสามารถค้าขายทองคำในจังหวัดชายแดนใต้ได้นั้น เพราะที่นี่เป็นตลาดที่ใหญ่มาก โดยเฉพาะช่วงเทศกาลที่เกี่ยวพันกับศาสนา ยอดขายทองต่อวันพุ่งสูงกว่าหาดใหญ่และเมืองสงขลารวมกันเสียอีก

ร้านทองของคนจีนกว่าที่เขาจะอยู่รอดมาได้ ต้องสู้มานาน บางคนทำมาตั้งแต่รุ่นปู่ รุ่นพ่อ เขาสั่งสมประสบการณ์มามากมาย สิบกว่าปีก่อนขึ้นไป อาจไม่ยากเท่าทุกวันนี้ เพราะตอนนั้นราคาทองคำยังนิ่ง คนจะรู้ว่าเงินในมือจะต่อยอดขยับขยายต่อไปได้อย่างไร แต่ทุกวันนี้ต้องวางแผนการเงินกับแบบรายวัน เพราะราคาทองคำปรับเปลี่ยนทุกวัน แต่คนจีนก็ยังได้เปรียบอยู่ดี เพราะเขาสะสมทุนมานาน เขาให้ความเห็นในฐานะนายหน้าทองคำที่มีเจ้าของกิจการทั้งคนมุสลิมและคนจีนเป็นลูกค้า

เขายังกล่าวว่า มีข้อแตกต่างมากมายระหว่างผู้ค้าสองกลุ่ม ประการแรกคือเรื่องทุน ที่คนจีนสั่งสมมานาน แต่คนมุสลิมไม่มีทุนสะสม ใช้เงินกู้ปลอดดอกเบี้ย หรือใช้สมบัติที่เก็บออมไว้มาลงทุน พอเกิดวิกฤตราคาทองคำก็รับมือได้ยาก เพราะไม่มีเงินสำรอง ประการที่สองคือการวางแผนทางการค้า ที่คนมุสลิมยังมีข้อด้อยมากกว่า

ร้านทองมุสลิมยังต้องดิ้นรนอีกมาก กว่าจะอยู่รอดได้ เขาสรุปทิ้งท้าย

 

ส่วนในมุมของคนจีนเจ้าของร้านทอง อย่าง ชัยวัฒน์ ภูวรัตนกุล เจ้าของร้านบุ่นจิ้น ในตัวเมืองยะลาบอกว่า เราถือว่าเป็นความพิเศษที่เราอยู่ตรงนี้ เมื่อเทียบกับร้านทองที่ไม่ได้อยู่ในสังคมพหุวัฒนธรรม ลูกค้าก็จะสู้ที่นี่ไม่ได้

ความพิเศษที่คนชื้อสายจีนวัยเลยกลางคนอย่างชัยวัฒน์บอก คือสังคมที่มีคนมุสลิมเป็นชนส่วนใหญ่...

เขาบอกว่านับว่าเป็นโอกาสอันดีที่ตระกูลของเขาลงหลักปักฐานที่ตัวเมืองยะลา และยึดอาชีพค้าขายทองเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิตและสร้างหลักความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้ครอบครัว

50-60 ปีก่อน ช่างทองต้องแบกเครื่องมือไปทำให้ถึงหมู่บ้าน มีลายให้เลือก ไปแกะ ไปขัดลายกันถึงบ้านเลย เพราะให้เขาเดินทางมาซื้อทองถึงตัวเมืองมันยากลำบาก ที่นี่มีแต่ป่าเขา เดินทางยาก ชัยวัฒน์ฉายภาพจุดเริ่มต้นของอาชีพค้าขายทองให้ฟัง ซึ่งสมัยก่อนเมื่อคนมุสลิมหาเงินได้ มักไม่ไปธนาคาร เพราะไม่ได้เรียนหนังสือ และกลัวพูดกับเจ้าหน้าที่ธนาคารไม่รู้เรื่อง เลยมาซื้อทองเก็บไว้

เมื่อก่อนคนค้าขายทองต้องพูดภาษามลายูให้เป็น ถ้าพูดไม่ได้ ไม่ต้องมาขายทองเลย เพราะช่วงหน้าเทศกาลคนมุสลิมเข้ามาซื้อเยอะ แต่ตอนนี้คนมุสลิมแทบทั้งหมดพูดภาษาไทยได้ แต่ลองสังเกตได้ หากร้านไหนพูดมลายูกับลูกค้ามุสลิม จะมีลูกค้าเข้าไปอุดหนุนค่อนข้างเยอะ และส่วนใหญ่เป็นลูกค้าเก่าแก่ทั้งสิ้น นั่นเพราะเขายึดถือกับอัตตลักษณ์ของตนเอง ค้าขายกับเขาต้องพูดภาษาเขาได้ และพ่อค้าแม่ค้าก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมที่ต้องอยู่ เป็นเรื่องปกติ

ลูกค้าของชัยวัฒน์ซึ่งเป็นคนมุสลิมมากกว่าร้อยละ 85 คือรากฐานสำคัญที่ช่วยหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของร้าน เขาบอกว่ากิจการค้าทองเป็นกิจการที่สอดรับกันกับประเพณีวัฒนธรรมของคนมุสลิม เนื่องจากทองเป็นเครื่องประดับที่สำคัญ เมื่อถึงเทศกาลสำคัญของศาสนาอิสลามอย่างฮารีรายอ คนมุสลิมนิยมซื้อทองมอบให้คนในครอบครัว แม้ว่าผู้ชายมุสลิมจะไม่สามารถใช้เครื่องประดับทองคำเหล่านั้นได้ แต่ซื้อหาให้ภรรยาและลูกๆ สามารถทำได้ 

ศาสนาอิสลามมีเทศกาลใหญ่อยู่ 2 เทศกาล ซึ่งผู้คนมีการเฉลิมฉลองกันครึกครื้นและนิยมใช้เงินเพื่อซื้อเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับ คือเทศกาลฮารีรายอ ภายหลังการสิ้นสุดการถือศีลอดของเดือนรอมฎอน ที่เรียกว่า อีดิลฟิตร

ส่วนอีกเทศกาล คือ อีดิลอัฏฮา ในห้วงการประกอบพิธีฮัจจ์ หรือที่เรียกกันว่า รายอฮัจจ์ ซึ่งมีการเชือดสัตว์เพื่อแจกจ่ายเนื้อเป็นทาน ชนผู้นับถือศาสนาอิสลามก็มีการฉลองกันในเทศกาลนี้ด้วย

ช่วงเทศกาลรายอบอกได้เลยว่าขายไม่ทัน แหวนทองและสร้อยทองจะขายได้มากเป็นพิเศษ แต่ว่าตุ้มหูจะขายได้น้อย เพราะหญิงมุสลิมคลุมฮิญาบ ซื้อไปใส่ก็มองไม่เห็นชัยวัฒน์ย้ำถึงวันที่สินค้าขายดิบขายดี ช่วงเทศกาลฮารีรายอ ร้านทองในตัวเมืองยะลามีเงินสะพัด 20-30 ล้านบาท ถ้าไม่ใช่เทศกาลก็ต่างกันลิบลับ

ชัยวัฒน์บอกว่า มีร้านทองมุสลิมอยู่ 4 ร้านในตัวเมืองยะลา ส่วนต่างอำเภอรอบนอกร้านทองมุสลิมเริ่มผุดขึ้นมาแทนที่ร้านคนจีนมากขึ้น ที่เป็นเช่นนั้นเพราะร้านคนจีนเองยังมีปัญหาเรื่องการรับจำนำมีดอกเบี้ย จึงมีคนมุสลิมพยายามทำร้านทองที่ปลอดดอกเบี้ยขึ้นมารองรับวิถีทางศาสนาของตนเองขึ้นมา

 แต่ไม่มีทางเจ๊ง อีกร้อยปีกิจการค้าทองก็ไม่มีวันเจ๊ง เพราะยังไงเสียคนมุสลิมก็ยังนิยมร้านทองของคนจีนมากกว่า เพราะยังเป็นต้นตำรับที่พวกเขาเชื่อมั่น เจ้าของร้านทองบุ่นจิ้นยิ้มตอบ

ส่วนคนซื้ออย่าง สุริยา เบ็ญเจ๊ะมะ หรือ ก๊ะยา ลูกค้าที่เข้ามาซื้อทองในร้านบุ่นจิ้นบอกว่า ผู้คนที่นี่ชอบซื้อทองเพราะเป็นค่านิยมทั่วไป ซึ่งส่วนใหญ่จะซื้อทองมาเก็บไว้ บ้างก็ซื้อให้ลูกหลานโดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญๆ อย่างเช่นวันฮารีรายอ หรือ งานบุญต่างๆ เช่นช่วงงานกินเหนียว (แต่งงาน) เป็นต้น

ก๊ะยาบอกว่า เธอไม่มีความรู้เรื่องทอง อาศัยคำแนะนำจากเจ้าของร้านที่บอกมา และชอบซื้อทองที่ร้านคนจีนมากว่าร้านมุสลิม เพราะไว้เนื้อเชื่อใจร้านคนจีนมากกว่าคนมุสลิมด้วยกัน และเป็นผู้บุกเบิกการค้าทองในทุกที่

ส่วน สุไรดา และ ซีตีอามีเนาะลูกค้าอีกสองรายบอกเหมือนกันว่าเวลาซื้อจะสังเกตที่ราคาว่าร้านไหนขายถูกกว่า หรือให้ส่วนลดมากกว่า ช่วยในการตัดสินใจซื้อ

ร้านคนจีนลดมากกว่าร้านมุสลิม และนำกลับมาขายง่ายกว่า สุไรดาให้ความเห็น