Skip to main content

 

 

"มองเรามองโลก" แล้วกลับไปเพื่อพัฒนาชุมชน

เป็นโจทย์ของผมสำหรับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้แก่นักศึกษาไทยในจอร์แดน ในวันแรกที่ผ่านมาบางครั้งเราอาจต้องกลับมาหวนคิดติดตามสถานการณ์โลกใหม่ว่าอะไรเป็นอะไร และย้อนคิดว่าเรายืนอยู่ตรงไหนในสังคมและเราจะขยับต่อไปอย่างไรหากเราต้องเป็นขุมพลังปัญญาที่สำคัญของการพัฒนาสังคมหรือชุมชนมากกว่าแค่เป็นเพียงวาทกรรม วันนี้นักศึกษาไทยในจอร์แดนคือฟันเฟืองสำคัญอย่างมากหากประเทศไทยจะพยายามจะลากตัวเองให้เป็น Thailand 4.0 เขากล้าคิด กล้ามอง ตรองไตร่ให้ได้เห็นว่าการแสดงมุมคิดที่พรั่งพรูออกมาคือพลังปัญญาที่ล้ำค่า แต่บางครั้งใครหลายคนพยายามปิดทับให้มุมคิดของเยาวชนเหล่านี้ที่ส่วนใหญ่มาจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศกลับกลายการมีตัวตนเป็นอย่างอื่นมากกว่าจะมองว่าเขาคือปัญญาชนแห่งความหวัง

...

...

ผมได้เรียนรู้อะไรจากที่นี่มากมายทุกครั้งที่มา (มาแค่สองปีแล้ว) ผมบอกน้องๆในสมาคมว่าผมคงไม่ต้องมาที่นี่อีกแล้วเพราะผมทวนสอบเพื่อยืนยันความคิดของผมแล้วว่าเยาวชนที่นี่วาดถ้วยกาแฟที่มีหูจับมากกว่าแค่ด้านขวาหรือวาดหัวปลามากกว่าแค่จะหันหัวปลาไปด้านซ้ายเพียงอย่างเดียว แม้จะมีเสียงสะท้อนให้ย้อนคิดกับตัวเองจากน้องๆในสมาคมว่าน้องๆยังต้องการคนอย่างอาจารย์มาช่วยเติมเต็มความคิด มันอาจเป็นการระลึกอยู่เสมอสำหรับผมว่าการหยุดนิ่งเพื่อพัฒนาตนเองมิใช่เป้าหมายสำหรับผมเพราะเรามิอาจรู้เลยว่าความท้าทายที่เราจะได้พบเจอะเจอเราจะทำมันให้สุดที่ดีได้อย่างไร

#ถึงเวลาที่ต้องทำความจริงที่ฝันไว้มากกว่าแค่รอทำความฝันให้เป็นจริงคือความท้าทายที่ทิ้งไว้ให้น้องๆและตัวผมเองสำหรับวันนี้#

...

...

อัลฮัมดุลิลละฮ์ที่ให้ได้มาเปิดมุมมอง

ขอบคุณน้องๆในสมาคมฯมากๆที่ดูแลประกบอย่างไม่ละสายตา ความเป็นพี่น้องมุสลิมในความผูกพันแม้ช่วงเวลาสั้นๆที่มาเยือนคือสิ่งย้ำเตือนว่าพระเจ้าจะให้เราพบเจอคนดีๆหากเราเป็นคนดี ขอบคุณทีมสถาบันรามจิตติ Sunchai Nongtrud Chul JoeTd Gtd ที่ได้ร่วมงานกันเมื่อไหร่ก็อุ่นใจทุกครั้งในพลังการขับเคลื่อน อยากบอกอาจารย์ ผศ.ดร.Sukree Langputeh ครับว่าขอบคุณมากกกกจริงๆๆที่ชวนมาทำภารกิจนี้ร่วมกัน (ผมเข้าใจมันมากขึ้นแล้ว)

บันทึก ณ กรุงอัมมาน ประเทศจอร์แดน

23 กันยายน 2559

เวลา 06.55 น.