Skip to main content

เสวนา: สื่อกับการรายงานข่าวกระบวนการสันติภาพ

นวลน้อย ธรรมเสถียร

 

เมื่อรัฐบาลไทยลงนามในข้อตกลงกับบีอาร์เอ็นว่าจะเริ่มพบปะพูดคุยเพื่อเดินหน้าไปสู่กระบวนการแสวงหาสันติภาพเมื่อ 23 กพ.2556 ที่ผ่านมา โลกของการรายงานข่าวสถานการณ์ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน เพราะการนั่งโต๊ะเจรจากับบีอาร์เอ็นหมายถึงการปรับเปลี่ยนสถานะของขบวนการที่ต่อต้านรัฐบาลและเท่ากับยอมรับว่า ปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่โดยเนื้อแท้แล้วเป็นเรื่องของการเมือง

ในขณะที่ภาคประชาสังคม กลุ่มองค์กรต่างๆต่างตื่นตัวแสวงหาข่าวสารและหาทางเข้าไปมีส่วนร่วม เสียงบ่นเรื่องสื่อกับการรายงานข่าวกระบวนการสันติภาพก็เริ่มดังขึ้นพร้อมๆกับที่มีการทำข้อตกลงที่จะพบปะพูดคุยระหว่างคู่ความขัดแย้ง เสียงบ่นที่ว่า มีตั้งแต่เรื่องว่าการรายงานข่าวเรื่องการพบปะพูดคุยเป็นไปอย่างไม่ถูกต้อง บ้างก็ว่าสื่อไม่มีความรู้ ไม่อาจตอบสนองโจทก์จากสถานการณ์ใหม่นี้ได้

การเสวนาเรื่องสื่อกับการรายงานข่าวกระบวนการสันติภาพเมื่อ  17 มิ.ย. เป็นความพยายามของคนในวงการสื่อในพื้นที่ที่จะมองหาและทำความเข้าใจกับข้อบกพร่องในการทำงานของตนเองพร้อมทั้งหาวิธีการปรับตัวร่วมกันเพื่อขานรับภารกิจใหม่ที่เป็นความท้าทายอย่างสำคัญของพวกเขา

กลุ่มมีเดียอินไซท์เอ้าท์ จับมือกับกลุ่มเอฟทีมีเดียพร้อมกับศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ร่วมกันจัดวงเสวนาวงเล็กๆ ผู้เข้าร่วมวงพูดคุยวันนั้นประกอบด้วย ติชิลา พุทธสาระพันธ์ จากทีวีสาธารณะไทยพีบีเอสซึ่งเกาะติดการรายงานข่าวภาคใต้มาหลายปีนับตั้งแต่ที่เหตุการณ์รุนแรงเริ่มปะทุขึ้นมาระลอกใหม่เมื่อปี 2547 รายที่สองคือมูฮำมัดอายุบ ปาทาน จากศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้หรือ Deep South Watch ในอดีตเขาเป็นบรรณาธิการข่าวให้กับศูนย์ข่าวอิศราสมัยที่ยังมีแต่โต๊ะข่าวภาคใต้ และมีบทบาทในเรื่องการผลักดันให้เกิดกระบวนการเรียนรู้เรื่องกระบวนการสันติภาพมาโดยตลอด ถัดมาคือแวหามะ แวกือจิก หัวหน้าสถานีวิทยุชุมชนร่วมด้วยช่วยกันมีเดียสลาตัน สื่อในพื้นที่ที่เริ่มมีบทบาทน่าจับตามองในฐานะที่นำเสนอเรื่องราวของการเคลื่อนไหวบนโต๊ะเจรจาอย่างเข้มข้นผ่านรายการ “โลกวันนี้” ที่เป็นการเปิดสายโฟนอินสัปดาห์ละห้าวัน รายสุดท้ายคือผศ.วลักษณ์กมล จ่างกมล คณบดีคณะวิทยาการสื่อสาร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เจ้าของผลงานการวิจัยดีเด่นในเรื่องของบทบาทสื่อกับสันติภาพ  

 

การเสวนาวงเล็กที่ดำเนินไปท่ามกลางผู้ฟังประมาณสามสิบคนได้รับการถ่ายทอดสดผ่านวิทยุร่วมด้วยช่วยกันมีเดียสลาตันที่ออกอากาศพร้อมกันในสามจังหวัดคือปัตตานี ยะลาและนราธิวาสเช่นเดียวกันกับทางอินเตอร์เนท  

ติชิลา พุทธสาระพันธ์ นักข่าวที่คร่ำหวอดกับการรายงานข่าวภาคใต้จากไทยพีบีเอสตั้งข้อสังเกตุถึงการรายงานข่าวเกี่ยวกับกระบวนการสันติภาพว่า ในระยะแรกที่ตัวแทนรัฐบาลและกลุ่มบีอาร์เอ็น โคออร์ดิเนทเริ่มพูดคุยกันนั้นจะเห็นว่ารายงานของสื่อสะท้อนอารมณ์ของสังคมในขณะนั้นที่มีการตั้งคำถามกันมากว่า รัฐไทยจะโดนหลอกหรือไม่และคู่เจรจาเป็นตัวจริงหรือเปล่า ซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นการสะท้อนความไม่เชื่อมั่นของหลายฝ่ายที่มีต่อกระบวนการพูดคุยในช่วงแรก ต่อมาเมื่อมีความเคลื่อนไหวหลากหลายขึ้นจากปฏิกิริยาของคนในพื้นที่ สื่อก็ได้เก็บความเคลื่อนไหวเหล่านั้นออกมานำเสนอเช่นกัน แต่สำหรับในเรื่องของการพูดคุยกันนั้น ติชิลาบอกว่านักข่าวไทยเข้าถึงได้แค่ข้างเดียวของคู่ความขัดแย้งทำให้ดูเหมือนว่าข่าวขาดบางมุมบางด้านไป ติชิลาชี้ว่าตัวเธอเองก็อยากจะสัมภาษณ์ฝ่ายบีอาร์เอ็นบ้าง  ในการไปทำข่าวการพูดคุยกันของบีอาร์เอ็นกับรัฐบาลหนหลังสุดเมื่อ 13 มิ.ย.ที่มาเลเซีย เธอได้พยายามจะทาบทามหัวหน้าคณะผู้แทนเจรจาของบีอาร์เอ็นคือฮัสซัน ตอยิบ แต่ทว่า “เขาไม่ได้เลือกเรา” กล่าวคือฝ่ายบีอาร์เอ็นไม่ยอมให้สัมภาษณ์

เป็นที่รู้กันว่า หลังการพูดคุยหนสุดท้าย ฮัสซัน ตอยิบได้พบปะกับนักข่าวกลุ่มหนึ่ง ซึ่งในนั้นไม่มีนักข่าวไทยอยู่ด้วย

นอกเหนือจากการที่บีอาร์เอ็นเลือกที่จะสื่อสารผ่านยูทูป ติชิลาชี้ว่านี่เป็นผลของการที่คู่ความขัดแย้งไม่ไว้ใจสื่อ

อีกอย่างหนึ่งเธอชี้ว่า จุดอ่อนของนักข่าวฝ่ายไทยโดยทั่วไปคือไม่เข้าใจเรื่องกระบวนการสันติภาพ ไม่มีองค์ความรู้ในเรื่องนี้มากพอที่จะทำให้เข้าใจและมองเห็นขั้นตอนต่างๆ เธอบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องฝากความหวังไว้กับนักข่าวแต่ละรายว่าจะขวนขวายหาความรู้ให้กับตัวเองอย่างไรแค่ไหน สำหรับสื่อมวลชนด้วยกันเองนั้นไม่มีวิธีปฏิบัติในเรื่องการวิพากษ์วิจารณ์กันเองแม้จะมองเห็นผลเสียของการที่นักข่าวไม่กระตือรือร้นทำความเข้าใจก็ตาม

นอกจากนี้ติชิลาตั้งข้อสังเกตว่า หากจะมีองค์กรใดจัดอบรมหรือให้ความรู้หรือแม้แต่จัดทำหนังสือคู่มือขึ้นมาก็จะเป็นเรื่องดี แต่จะมีอีกปัญหาหนึ่งคือ อาจจะยากที่สื่อจะแสวงหาความรู้นั้น เพราะส่วนใหญ่สื่อจะเกรงว่าการทำข่าวของตนจะกลายเป็นการ “อวย” หรือประชาสัมพันธ์ให้กับกระบวนการสันติภาพ ทำให้ความคิดที่ว่าสื่อควรจะช่วยทำหน้าที่อุดรอยรั่วที่จะทำให้กระบวนการล่มนั้นเป็นเรื่องที่เกิดยาก

 

“จุดอ่อนของสื่อของเราคือ เราไม่เข้าใจกระบวนการสันติภาพที่มันเกิดขึ้นในที่อื่นๆ และถ้าเราไม่ขวนขวายเราก็จะยิ่งไม่เข้าใจเลย” ติชิลามองเห็นปัญหาในการทำงานของเพื่อนสื่อด้วยกันที่นอกจากความเข้าใจต่อกระบวนการสันติภาพจะมีน้อยเช่นเดียวกันกับอีกหลายๆคน ยังมีปัญหาว่านักข่าวอีกไม่น้อยขาดความเข้าใจในบริบทปัญหาภาคใต้   

ด้านมูฮำมัดอายุบ ปาทาน หรืออายุบชี้ว่า การที่มีการพูดคุยหนนี้ เท่ากับว่าไทยให้การยอมรับว่ามีกลุ่มบีอาร์เอ็นอยู่จริง นับเป็นข้อเท็จจริงที่ทำให้สื่อยิ่งต้องให้ความสนใจอย่างมากรวมทั้งจะต้องทำความเข้าใจให้ได้ อีกประการหนึ่งคือการที่มาเลเซียเข้ามามีบทบาทก็เป็นประเด็นใหญ่

อายุบให้ความเห็นว่าการนำเสนอข่าวที่ผู้สื่อข่าวหรือสื่อเองไม่เข้าใจบริบทจะทำให้ตัวเองกลายเป็นอุปสรรคต่อกระบวนการสันติภาพ และได้หยิบยกรายละเอียดบางส่วนจากข้อเสนอของภาคประชาสังคมที่มีต่อสื่อซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนที่หรือ road mapที่นำเสนอต่อทุกฝ่ายทั้งรัฐ บีอาร์เอ็น และภาคประชาสังคมเอง ในโรดแมปนั้นมีข้อเสนอให้สื่อต้องแสวงหาองค์ความรู้ในเรื่องกระบวนการสันติภาพ เช่นในเรื่องประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม อันเป็นเรื่องที่เป็นความจำเป็น เพื่อพัฒนาทักษะในการให้ความรู้ต่อสาธารณะและหนุนเสริมกระบวนการสันติภาพ ประการถัดมาคือให้สื่อรายงานข่าวให้สอดรับกับกระบวนการสันติภาพ ซึ่งอายุบชี้ว่าเรื่องนี้อาจจะดึงนักวิชาการหรือผู้รู้ช่วยสนับสนุนเช่นทำคู่มือหรืออย่างอื่นๆที่สามารถนำไปใช้งานได้จริง ข้อเสนอประการที่สามคือให้สื่อเป็นพื้นที่ของการพูดคุยของทุกฝ่ายและอย่างหลากหลาย กล่าวคือนำเสนอข้อเสนอจากคนทุกกลุ่มไม่ใช่แค่ระหว่างรัฐกับบีอาร์เอ็น ดึงเนื้อหาของการพูดคุยออกสู่สาธารณะและกระตุ้นให้เกิดการสนทนาในสังคมของคนทุกฝ่ายรวมทั้งคนที่เห็นต่าง และต้อง “ทะลวงข้อจำกัดบางเรื่อง” ออกไป

อายุบยังหยิบยกเรื่องของการให้ความสำคัญกับความเป็น “มนุษย์” ของฝ่ายต่างๆในความขัดแย้งมานำเสนอบ้างไม่ใช่เน้นเฉพาะด้านการทหารหรือการใช้กำลังประการเดียว ทั้งนี้เพื่อสร้างความรู้สึกร่วมและเห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น  “ถ้าถ่ายทอดความเป็นมนุษย์ออกมาจะได้ไม่เกิดการเหมารวม เพื่อจะได้ขยับเรื่องความคิดสุดโต่ง”

อายุบย้ำในเรื่องของการทบทวนเจตนาของการทำรายงานของสื่อว่าจะต้องเน้นที่ “เพื่อให้อยู่ได้” การรายงานข่าวสันติภาพต้องใช้การสื่อสารสร้างพื้นที่ทางการเมือง หากสร้างเวทีให้มีการแสดงความเห็นที่หลากหลายเขาเชื่อว่าในที่สุดข้อเสนอจะปรากฏออกมาเอง ที่สำคัญคือข้อเสนอนั้นจะต้องเป็นผลิตผลของการสนทนาที่หลากหลายจึงจะได้รับการยอมรับ

“จากประสบการณ์จากทั่วโลก ขบวนการขัดแย้งแบบนี้มันไม่จบด้วยการทหาร มันต้องจบด้วยการเมือง เพราะโจทก์เป็นเรื่องการเมือง เราจะรายงานข่าวอย่างไรให้คนอีกมากมายเข้าใจว่ามันจบด้วยเรื่องการทหารไม่ได้  วันแรกๆสังคมไทยอาจจะมึนเพราะเราเคยบอกว่าปัญหาภาคใต้มันมีหลายเรื่อง ทุกคนเขียนถึงแต่ปัญหารอง ปัญหาเสริม ไม่เขียนถึงปัญหาใจกลาง วาทกรรมที่สร้างขึ้นไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง เราอาจจะต้องรายงานปัญหาใจกลางไม่ใช่รายงานแต่ปัญหาเสริม”

“สิ่งสำคัญก็คือสื่อจะต้องรู้ว่า ณ ขณะนั้นกระบวนการเดินมาถึงขั้นตอนไหน และต้องเข้าใจแผนที่หรือโรดแมปของกระบวนการเพื่อที่จะได้มองหาประเด็นในการรายงาน”

 

ผู้ที่เติมเต็มภาพของการทำงานของสื่อที่อยู่ในพื้นที่ในวันนั้นคือแวหามะ แวกือจิก หัวหน้าสถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกันมีเดียสลาตันซึ่งเปิดเผยถึงรายการวิทยุที่จัดในช่วงค่ำของแต่ละวันอันเป็นรายการโฟนอินจากผู้ฟังที่ปรากฎว่าดึงดูดคนเข้าร่วมได้อย่างคึกคัก โดยเฉพาะผู้ฟังที่เป็นคอการเมืองและพูดภาษามลายูต่างกระโดดเข้าร่วมวงการสนทนาที่ “ร้อนแรง” ชนิดไม่หวาดหวั่นต่อการจับตาของเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงในพื้นที่

“เราอาจหาญยังไงถึงได้ทำ” แวหามะพูดถึงการจัดรายการของตัวเองว่า อันที่จริงแล้วเขาก็กลัวไม่แพ้คนอื่นๆเพราะรู้ว่าสื่อในพื้นที่ถูกจับตามองทุกฝีก้าวและจากทั้งสองฝ่ายไม่ใช่แค่ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้นที่จะไม่พอใจหากนำเสนออย่างที่พวกเขามองว่าล้ำเส้น แต่ฝ่ายขบวนการก็จะไม่ชอบใจเช่นเดียวกัน “เพราะในพื้นที่นี้มีกฎหมายพิเศษสองฉบับ ฉบับหนึ่งคือพรก.ฉุกเฉินของรัฐบาลไทย อีกฉบับคือของบีอาร์เอ็น”

แวหามะชี้ว่าสิ่งที่เขาพยายามนำเสนอคือการติดตามความเคลื่อนไหวที่กำลังเกิดขึ้นอย่างใกล้ชิดและเปิดพื้นที่ให้ประชาชนทั่วไปที่ถนัดในการใช้ภาษาแม่หรือมลายูถิ่นในการร่วมแสดงความคิดเห็น “เราไม่มีความรู้ในเรื่องหลักวิชาการ แต่เราจะรอองค์ความรู้อย่างเดียวคงไม่ทัน บางครั้งก็ต้องแหวกแนวบ้าง”

แวหามะระบุว่า สองครั้งแรกที่จัดในเรื่องหัวข้อเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวพูดคุยของรัฐบาลและบีอาร์เอ็น ชาวบ้านที่โทรศัพท์เข้าไปในรายการค่อนข้างใช้คำพูดในการแสดงออกที่ถือว่า “แรง” แต่ในความเห็นของเขาที่เป็นผู้จัดมองว่า ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยมองว่าการพูดคุยกันของสองฝ่ายมีเพียงเนื้อหาเรื่องเดียวคือในเรื่องของ “เอกราช” ขณะที่รายการก็พยายามที่จะสร้างความเข้าใจ ด้วยการนำผู้ที่มีความรู้ในเรื่องกระบวนการสันติภาพเข้าไปร่วมวงพูดคุยหรือตอบคำถามต่างๆ  

แวหามะเล่าว่า ในระยะแรกชาวบ้านเกือบทั้งหมดที่โทรศัพท์เข้าไปร่วมแสดงความคิดเห็นล้วนไม่เชื่อว่าการพูดคุยกันเป็นเรื่อง “จริง” แต่การจัดรายการนัดต่อๆมาเริ่มเห็นได้ชัดว่าความรู้สึกของคนฟังเปลี่ยนไป พวกเขามีความเชื่อมั่นมากขึ้น ในขณะที่พวกเขาเข้าใจในเรื่องของการแสดงออกของความเห็นเพื่อจะให้คนอื่นๆรับฟังได้และลดความกระทบกระเทือนในแง่ของสื่อลง เช่นลักษณะการเลือกสรรคำพูดที่แสดงว่า “เป็น” มากขึ้น รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรไม่ให้แรงเกินไปและส่งกระทบกับผู้จัดและสถานี แทนที่จะใช้คำพูดอย่างตรงไปตรงมาเหมือนเดิม พวกเขาเริ่มมี “รหัส” มีการใช้คำว่า “ขอทวงคืนโฉนดที่ดิน” เป็นต้น

แวหามะกล่าวด้วยว่า เขาเชื่อว่าจนถึงปัจจุบันนี้ยังไม่มีสื่อที่เปิดเวทีให้กับคนกลุ่มที่เป็นชาวบ้านจริงๆและเป็นกลุ่มที่เป็นคนที่ไม่ถนัดในการพูดคุยด้วยภาษาไทย ที่สำคัญคือเป็นกลุ่มคนที่ไม่กล้าแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาหากต้องร่วมเวทีกับฝ่ายอื่นๆโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่  เขาสรุปว่าชาวบ้านจำนวนมากยังไม่เข้าใจในเรื่องของการพูดคุย ในขณะที่ความเห็นของพวกเขาที่เป็นความเห็นที่ตรงไปตรงมาก็ยังไม่ได้รับการนำเสนอในสื่ออื่นๆเพื่อให้สังคมในวงกว้างได้รับรู้

นักวิชาการรายเดียวในวงเสวนาวันนั้นคืออาจารย์วลักษณ์กมล จ่างกมล คณบดีคณะวิทยาการสื่อสาร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ปัตตานี กล่าวถึงเงื่อนไขการทำงานของสื่อกับการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับกระบวนการสันติภาพว่า สองสิ่งนี้มีธรรมชาติที่ขัดกัน หากจะให้เป็นไปได้ด้วยดีต้องมีการปรับตัว

คณบดีคณะวิทยาการสื่อสารระบุว่า ธรรมชาติของสื่อที่ขัดแย้งกับเรื่องของการรายงานข่าวสันติภาพนั้นเป็นเพราะสื่อมักจะหยิบจับสิ่งที่เป็นด้านลบขึ้นมารายงาน ในขณะที่กระบวนการสันติภาพต้องการการนำเสนอข่าวที่ไม่พยายามสร้างความแตกแยกหรือพยายามผลักดันให้เกิดความชัดเจนและความเข้าใจ ในขณะที่เรื่องของกระบวนการสันติภาพเป็นเรื่องราวที่ซับซ้อนแต่สื่อต้องการเนื้อหาที่กระชับ ในขณะที่กระบวนการสันติภาพต้องใช้เวลายาวนาน การทำงานของสื่อต้องการความรวดเร็ว การจะรายงานข่าวสันติภาพให้ได้ดีจึงจำเป็นต้องปรับค่านิยมในเรื่องของการวัดคุณค่าข่าว แต่ทว่าปัจจุบันสื่อยังเน้นรายงานข่าวที่ใช้ค่านิยมวัดคุณค่าข่าวแบบดั้งเดิม และในขณะที่กระบวนการสันติภาพต้องการการประนีประนอม รายงานข่าวของสื่อกลับเน้นในเรื่องการขายความขัดแย้ง ด้วยลักษณะการทำงานเช่นนี้จึงไม่ส่งเสริมกระบวนการสันติภาพ  และแม้ว่าจะมีสื่อที่ปรับตัวอยู่บ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของนักข่าวหรือปัจเจกบุคคลยังไม่ขยายรวมไปถึงองค์กร 

อาจารย์ วลักษณ์กมลชี้ว่าการทำงานของสื่อที่ไปเน้นการรายงานที่เหตุการณ์ เช่นการพบปะพูดคุยv ทำให้เกิดอาการเร่งรัด และที่สำคัญทำให้ความสนใจเน้นไปที่เหตุการณ์ย่อยๆที่เกิดขึ้นในกระบวนการที่มีธรรมชาติอันซับซ้อนและต้องใช้เวลา ทำให้เกิดการเน้นที่ผิดจุดและประเมินความสำเร็จหรือล้มเหลวของกระบวนการจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างสั้นๆและเป็นเพียงองค์ประกอบเล็กๆในตัวกระบวนการที่ยาวนาน

นอกจากนั้นการที่สื่อเน้นคุณค่าข่าวแบบดั้งเดิมที่เน้นการรายงานจุดที่เป็นปัญหา ความขัดแย้ง หรือแม้แต่การเน้นในเรื่องความเร้าอารมณ์ การมองคู่เจรจาในนัยแบบเก่าว่าเป็นผู้ก่อการร้าย รวมทั้งการพยายามเปิดเรื่องราวเบื้องหลังการต่อรองที่ทำให้เห็นว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดกำลังเพลี่ยงพล้ำทำให้ผู้สนับสนุนไม่พอใจเพราะรู้สึกว่าฝ่ายตนอาจแพ้ได้ ทั้งหมดนี้มีผลกระทบต่อกระบวนการสันติภาพจนอาจทำให้สื่อไม่สามารถแสดงบทบาทเป็นผู้สนับสนุนได้

คณบดีคณะวิทยาการสื่อสาร มอ.ปัตตานีเสนอว่า สื่อควรจะมีระบบจัดการกับข่าวกระบวนการสันติภาพโดยมองอย่างเป็นระบบและเป็นกระบวนการ แต่ละขั้นตอนของกระบวนการสื่อต้องมีแผนว่าในการนำเสนอรายงาน เช่นก่อนหน้าที่จะเกิดกระบวนการสันติภาพก็ควรจะมีวิธีการจัดการการนำเสนอข่าวความรุนแรงว่าควรเสนออย่างไรเป็นต้น  

ในส่วนของกลุ่มผู้ฟัง มีผู้ที่ติดตามการเสวนาจากการถ่ายทอดสดและในเวทีพูดคุยตั้งข้อสังเกตว่า การดูดซับบทเรียนของการผลักดันกระบวนการสันติภาพในที่ต่างๆนับเป็นเรื่องจำเป็น แต่ควรยึดลักษณะเฉพาะของเงื่อนไขในพื้นที่และปรับใช้บทเรียนเหล่าอย่างเหมาะสม มีผู้เสนอด้วยว่าการอธิบายเรื่องของกระบวนการสันติภาพนั้นจำเป็นจะต้องคำนึงถึงความเข้าใจของชาวบ้านทั่วไปเป็นหลัก ใช้คำศัพท์ที่เข้าใจง่าย บางรายเสนอให้สื่อมีความกล้าหาญมากขึ้นในการนำเสนอประเด็นที่อ่อนไหวเพื่อเปิดพื้นที่ให้มีการถกเถียงและพูดคุยในเรื่องที่เป็นประเด็นสำคัญ

บทความนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในเวบไซท์ของ Media Inside Out ที่นี่