บทความที่มีชื่อ Komentar Berita ที่ลงในบล็อกขององค์กร Deep South Watch เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคมที่ผานมาเขียนโดย นาย Abu Hafez ซึ่งเป็นบุคคลที่อธิบายตัวเองว่าเป็น “นักต่อสู้ปลดปล่อยปาตานี” บทความชิ้นนี้อธิบายถึงการตีความของการริเริ่มเดือนรอมฎอนสันติสุขจากสายตาของ “นักต่อสู้” ผมจึงแปลต้นฉบับซึ่งเป็นภาษามลายูกลางเป็นภาษาไทยเพื่อให้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์และพิจารณาแนวคิดของฝ่ายขบวนการปลดปล่อยปาตานี
JA">ต้นฉบับ
color:#333333;mso-fareast-language:JA">:
http://www.deepsouthwatch.org/node/4551
******************************************
JA">การริเริ่มรอมฎอนสันติสุขที่ประกาศเมื่อวันที่ 3 ของเดือนรอมฎอน ซึ่งตรงกับวันที่ 12 กรกฎาคม 2556 โดย Datuk Seri Zamzamin Hashim (ผู้อำนวยความสะดวกจากรัฐบาลมาเลเซีย) เกี่ยวข้องกับข้อตกลงเพื่อลดปฏิบัติการทางทหาร (ไม่ใช่ “ยุติความรุนแรง”) โดยทั้งสองฝ่าย (ไทยกับ BRN) เป็นข่าวดีที่ทุกฝ่ายต้อนรับด้วยความยินดี โดยเฉพาะประชาชนทั่้วไปที่ต้องการเห็นสันติภาพในภาคใต้ ความจริงแล้ว การประกาศนี้มีการวางแผนที่จะประกาศก่อนเดือนรอมฎอน แต่โดยมีสาเหตุบางอย่าง การประกาศก็ถูกเลื่อน
พวกเรา (ฝ่ายนักต่อสู้ปาตานี) เข้าใจว่า การริเริ่มนั้้นเป็นการประกาศจากผู้อำนวยความสะดวกฝ่ายเดียว ตามความประสงค์ที่ดีเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายปฏิบัติตามหลักการที่ได้รับการตกลงกันในการประชุมครั้งสุดท้าย ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 13 มิถุนายอ 2556 หลังจากนั้น ฝ่าย
mso-fareast-language:JA">BRN ก็ประกาศเงื่อนไข 7 ข้อและขอบเขตกระบวนการสันติภาพ 4 ข้อให้ฝ่ายไทยทราบ (ผ่านผู้อำนวยความสะดวกและ Youtube) ซึ่งจุดประสงค์ของเงื่อนไขเหล่านี้ไม่ใช่แค่ลดปฏิบัติการ (ทางทหาร) ในช่วงเดือนรอมฎอนเท่านั้น แต่เป็นเงื่อนไขเพื่อยุติความรุนแรงตลอดช่วงเดือนรอมฎอนและ 10 วันแรกของเดือนเชาวัล ถ้าฝ่ายไทยรับเงื่อนไขเหล่านี้
เรื่องที่น่าเสียดายคือท่าทีของฝ่ายไทย ทันทีที่มีคำประกาศดังกล่าว รัฐมนตรีบางคนและข้าราชการชั้นสูง (รวมถึงผู้บัญการทหารบก) ให้คำคอมเมนต์ที่ไม่น่ายินดีเลย จริงๆ แล้ว ก่อนที่จะให้คอมเมนต์ที่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการสันติภาพ บุคคลเหล่านี้ก็ต้องศึกษาและพิจารณาเงื่อนไขเหล่านี้อย่างรอบคอบ หลังจากนั้น ก็ควรให้คำตอบว่า ข้อใดที่ปฏิบัติไ้ด้ ข้อใดที่อาจจะปฏิบัติใด้และข้อใดที่ไม่สามารถปฏิบั้ติใด้
ฝ่ายผู้อำนวยความสะดวกวางแผนที่จะทำการประกาศก่อนเดือนรอมฎอนในวันที่ 9 กรกฎาคม 2556 ผู้เขียนได้ข้อมูลว่า ฝ่าย BRN ไม่พอใจกับปฏิกิริยาของฝ่ายรัฐไทยที่แค่่ตกลงที่จะลด (ไม่ใช่ยุติ) การตรวจค้น การล้มบ้าน และ การควบคุมตัว พร้อมด้วยการสลับกำลังทหารกับกำลังตำรวจ/ทหารพราน (re-deployment of forces) ในบางพื้นที่ ตามรายชื่อที่ยืนในเมื่อวันที่ 16 และ17 กรกฎาคม เท่านั้น สังเกตได้อย่างชัดเจนว่า เรื่องเหล่านี้นำเสนอโดยตัวแทนรัฐไทยในการประชุมครั้งสุดท้าย โดยฝ่ายไทยเรียกร้องฝ่าย BRN ให้ลดการปฏิบัตการที่ฝ่ายรัฐอ้างว่าเป็นความต้องการของประชาชนในพื้นที่ แต่ ณ ตอนนี้ ฝ่ายรัฐไทยไม่สามารถประนีประนอมกับเงื่อนไขบางอย่างจากฝ่าย BRN ซึ่งเราถือว่า เป็นเงื่อนไขที่ฝ่ายรัฐรับได้
เนื่องจากฝ่าย
mso-fareast-language:JA">BRN ไม่พอใจกับคำตอบจากฝ่ายรัฐไทย โดยเฉพาะการทที่ฝ่ายรัฐไม่ยอมถอนทหารจากภาค ๔ ออกจากเขตหมู่บ้านให้อยู่ในค่าย และไม่ยอมถอนกำลังทหารที่มาจากภาค ๑, ๒ และ ๓ ออกจากพื้นที่ตามขั้นตอน สำหรับฝ่าย BRN ก็ไม่เกิดข้อผูกพันที่จะปฏิบัติตามการริเริ่มรอมฎอนสันติสุข ถึงแม้ว่าฝ่าย BRN ไม่เห็นด้วยกับคำประกาศนั้นก็ตาม แต่เพื่อแสดงความเคารพต่อการประกาศจากฝ่าผู้อำนวยความสะดวกและความประสงค์ที่ดีของท่าน Datuk Seri Zamzamin ฝ่าย BRN ก็นำนโยบาย “wait-and-see” (รอคอยติดตามสถานการณ์) และฝ่าย BRN ก็ออกคำสั่งให้นักต่อสู้ที่ปฏิับัติการอยู่ในสนามเพื่อยุติความรุนแรง
นักต่อสู้ในพื้นที่จะสังเกตการกระทำของฝ่ายรักษาความมั่นคงของฝ่ายรัฐไทยทั้งหมดเป็นเวลา ๒ สัปดาห์ ถ้าฝ่ายไทยปฏิบัติตามเงื่อนไขที่อยู่ในการริเริ่มรอมฎอนสันติสุข ฝ่าย
mso-fareast-language:JA">BRN ก็พร้อมที่จะขยายช่วงเวลาเป็น 40 วันเต็ม แต่ถ้าหากว่า ฝ่ายไทยการะทำปฏิบัติการเชิงบุก นักต่อสู้ในสนามก็จะได้รับคำสั่งเพื่อปฏิบัติการตามความเหมาะสมตามของมาตรฐานปฏิบัติการปกติ (“standard-operative-procedure”)
ชัดเจนว่า สถานการณ์ปราศจากความรุนแรงก็อยู่ได้แค่ 5 วัน ก่อนหน้านี้ ผู้เขียนได้ข่าวว่านักต่อสู้ (ในสนาม) บางส่วนได้กลับบ้านและเข้าร่วมละหมาดตะรอแวะห์ที่มัสยิดในหมู่บ้าน แต่หลังจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์ยิงและวิสามัญฆาตกรรมคนบางคน ไม่ว่าจะเป็นแนวรวมหรือผู้สนับสนุนขบวนการณ์ก็ตาม แน่นอนว่า ผู้ที่ลงมือการกระทำเช่นนี้คือฝ่ายที่ต่อต้านขบวนการ แต่อาจจะเป็นไปได้ว่า มีบางฝ่ายที่ตั้งใจจะกระทำเช่นนี้เพื่อทำให้การริเริ่มรอมฎอนสันติสุขประสบความล้มเลว ดังนั้นไม่แปลกที่ว่า มีปฏิกิริยาจากฝ่ายนักต่อสู้ในสนามตามท่าที่ SOP (กระบวนการปฏิบัติการมาตรฐาน) ดังกล่าว ตามกรประเมินของฝ่ายนักต่อสู้ การโจมตี (การสังหารและวิสามัญฆาตกรรม) กระทำโดยฝ่ายรัฐไทยหรือกลุ่มต่างๆ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของฝายรัฐไทย แต่ถ้าเราสังเกตและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ยังไม่มีปฏิบัติการขนาดใหญ่จากฝ่ายนักต่อสู้ สิ่งนี้บ่งบอกอย่างชัดเจนว่า ฝ่าย BRN ยังยึดถือ “หลักการในการลดความรุนแรง” ตามการริเริ่มรอมฏอนสันติสุข
เหตุการณ์ล่าสุดเกิดขึ้นที่ อ. จะแนะ ณ บริเวณใกล้เคียงกับโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ในเมื่อมีระเบิดริมถนน ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังลาดตระเวรอยู่ในขณะนั้นเป็นเป้าหมายของการโจมตี แต่ในเวลาเดียวกัน มีรถคันหนึ่งของครูที่ตามรถตำรวจดังกล่าว และได้รับแรงระเบิดจนถึงรถตกในคลอง พยานจากที่เกิดเหตุยืนยันว่า นายตำรวจได้ปล่อยกระสุนหลายนัดติดต่อกันไปทางรถของครูดังกล่าว หลังจากการตรวจสอบ พบว่า ครูหญิงสองคนได้เสียชีวิต ณ ที่เกิดเหตุ และครูผู้ชายคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งที่เป็นประเด็นการถกเถียงในขณะนี้คือ อะไรเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัสของครูทั้งสามคน มันเกิดจากสะเก็ดระเบิดหรือกระสุนของตำรวจ ฝ่ายรัฐจำเป็นต้องดำเนินการสอบสวนที่โปรงใส่ซึ่งมีหลักฐานตามวิทยาศาสตร์เพื่อแก้ความสงสัยในสังคม
ผู้เขียนขอระบุ ณ ตรงนี้ว่า ตามข้อมูลที่ได้รับ ฝ่าย BRN ยอมรับว่า การวางระเบิดครั้งนี้กระทำโดยนักต่อสู้ในสนามจากขบวนการนี้ แต่ฝ่าย BRN ก็เน้นว่า เป้าหมายการโจมตีไม่ใช่ครู แต่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ อย่างไรก็ตาม พวกเราขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของบรรดาครูที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ได้แก่ นางยีหะ ยีระ และ นางนุรยาฮาน อาแว ขอให้อัลลอฮฺ (ซ.บ.) คุมครองวิญญาณของ ทั้งสองท่าน และสำหรับ นาย อภิชาต เบ็ญจุฬามาศ ที่กำลังได้รับการรักษา ณ โรงพยาบาล ขอให้ท่านฝืนจากอาการบาดเจ็บอย่างเร็ว
ณ ตอนนี้ เดือนรอมฎอนยังเหลืออีก 10 วันบวกอีก 10 วันแรกของเดือนเชาวัล หมายความว่า เรายังมีช่วงเวลาประมาณอีก 3 สัปดาห์เพื่อทำการประเมินของการริเริ่มเดือนรอมฎอนสันติสุข สำหรับช่วงเวลานี้ ฝ่ายเราเรียกร้องให้รัฐไทยยุติปฏิบัติการเชิงบุกทั้งหมดต่อฝ่ายนักต่อสู้ เพื่อไม่ให้ฝ่ายนักต่อสู้ไม่จำเป็นต้องกระทำการโต้ตอบ เพราะยังมีหลายๆ ฝ่ายที่พยายามจะบ่อนทำลายการริเริ่มเดือนรอมฎอนสันติสุขและกระบวนการสันติภาพทั้งหมด
Cuka dan Madu
นอกรั้วพื้นที่ปาตานี