วิทยาศาสตร์ต้องมีศาสนานำทาง
บรรจง บินกาซัน
เมื่อพระเจ้าสร้างจักรวาล พระองค์ไม่ได้สร้างมันขึ้นมาโดยปราศจากระเบียบ แต่พระองค์ได้ทรงสร้างกฎระเบียบขึ้นมาควบคุมมันไว้ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์เพื่อรับใช้การดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตบนโลก
โลกของเราถูกกำหนดให้อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ประมาณ 93 ล้านไมล์ซึ่งเป็นระยะที่พอเหมาะพอดีกับการมีชีวิต ถ้าหากโลกเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่านี้ มนุษย์ก็ร้อนตับแตกตาย ถ้าหากโลกออกห่างจากดวงอาทิตย์มากกว่านี้ มนุษย์ก็หนาวตาย
นอกจากนี้ โลกยังถูกกำหนดให้หมุนรอบตัวเองเป็นเวลา 24 ชั่วโมงเพื่อให้เกิดเวลากลางคืนสำหรับมนุษย์ไว้พักผ่อนและมีเวลากลางวันไว้สำหรับทำงาน ไม่เพียงเท่านั้น โลกยังถูกกำหนดให้หมุนรอบดวงอาทิตย์เพื่อเกิดฤดูกาลต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์อีกด้วย
นี่คือกฎธรรมชาติที่เป็นความโปรดปรานของพระเจ้าต่อมวลมนุษย์ สิ่งเหล่านี้ถูกจัดเตรียมไว้ก่อนที่มนุษย์จะเกิด ธรรมชาติจึงไม่ใช่ความบังเอิญ แต่เป็นความจริงที่มีอยู่ดั้งเดิม
มนุษย์เป็นสิ่งถูกสร้างที่มีชีวิตไม่ต่างไปจากสัตว์ทั้งหลาย ในร่างกายของมนุษย์มีอวัยวะนับหลายร้อยชิ้นที่ถูกสร้างขึ้นและถูกกำหนดหน้าที่ให้ทำงานเพื่อการมีชีวิตของมนุษย์ แม้อวัยวะต่างๆจะอยู่ในร่างกายของมนุษย์ แต่มนุษย์ไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริงของมัน มนุษย์ไม่อาจสั่งให้หัวใจเต้นช้าหรือเร็วตามที่มนุษย์ต้องการได้ มนุษย์ไม่อาจสั่งกระเพาะให้หยุดย่อยอาหารเพราะเสียดายสิ่งที่กินเข้าไป อวัยวะทุกชิ้นจะฟังคำสั่งของพระเจ้าผู้ทรงสร้างมันขึ้นมาเพื่อประโยชน์ของมนุษย์เอง
นอกจากนี้แล้ว มนุษย์ยังเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงเผ่าพันธุ์เดียวที่ได้รับศาสนาเป็นกฎระเบียบในการอยู่ร่วมกัน เนื่องจากกฎของศาสนากับกฎทางชีวภาพในตัวมนุษย์และกฎทางภายภาพรอบตัวมนุษย์มาจากแหล่งที่มาเดียวกัน นั่นคือพระเจ้า ดังนั้น กฎทั้งสามนี้จึงไม่ขัดแย้งกัน แต่จะเอื้ออำนวยกันให้เกิดประโยชน์สุขสูงสุดแก่มนุษย์ถ้ามนุษย์ปฏิบัติตามกฎของศาสนา เพราะสรรพสิ่งทั้งหลายนอกตัวมนุษย์และอวัยวะทั้งหมดในตัวมนุษย์ปฏิบัติตามกฎระเบียบของพระเจ้าแล้ว เหลือแต่มนุษย์เท่านั้นที่จะปฏิบัติตามกฎศาสนาของพระเจ้าหรือไม่ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสติปัญญาและเจตนารมณ์เสรีของมนุษย์
ถ้ามนุษย์ปฏิบัติตามกฎของศาสนา สมดุลและประโยชน์สุขก็จะเกิดขึ้นแก่ชีวิตของมนุษย์เอง
แก่นธรรมคำสอนที่แท้จริงศาสนาต่างๆมีสิ่งที่เป็นประโยชน์เหมือนกันมากมายสำหรับมนุษย์ทั้งในด้านความเชื่อและการปฏิบัติ
ในอดีต ก่อนที่โลกจะมีระบบรัฐสภาเพื่อการออกกฎหมาย เราปฏิเสธไม่ได้ว่าคำสอนของศาสนาทำหน้าที่เป็นกฎระเบียบของสังคมมนุษย์ เมื่อมนุษย์ปฏิบัติตามกฎศาสนา ปัญหาในสังคมก็น้อยลงหรือแทบไม่มีเลย
นอกจากนี้ คำสอนของศาสนายังเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการค้นพบทางวิทยาศาสตร์มากมาย เมื่อชาวอาหรับได้รับคัมภีร์กุรอานและอ่านพบว่า “เรา(พระเจ้า)จะให้พวกเขาได้เห็นสัญญาณต่างๆของเราในท้องฟ้าและในตัวของพวกเขาจนกระทั่งพวกเขาเชื่อมั่นว่าคัมภีร์กุรอานเป็นความจริง” ชาวอาหรับเกิดความสงสัยว่าสัญญาณของพระเจ้าในท้องฟ้าคืออะไร จึงเฝ้าคอยดูอยู่ทุกคืน ในการเฝ้าดูท้องฟ้ายามราตรีนั้น ชาวอาหรับได้ทำการบันทึกตำแหน่งดวงดาวไว้ทุกวันจนกระทั่งกลายเป็นแผนที่ดวงดาวในที่สุด
เมื่ออิบนุสินาชาวเปอร์เซียได้เข้ารับอิสลามและศึกษาคัมภีร์กุรอาน เขาก็สงสัยว่าอะไรคือสัญญาณของพระเจ้าในตัวของมนุษย์ เขาจึงเริ่มศึกษาอวัยวะภายในของมนุษย์โดยเริ่มต้นด้วยการผ่าซากสัตว์และพบว่าอวัยวะของสัตว์ทุกตัวถูกจัดเรียงไว้ในตำแหน่งเดียวกันอย่างน่าทึ่ง หลังจากนั้น เขาได้ผ่าศพมนุษย์เพื่อค้นหาสัญญาณของพระเจ้าและทำให้เขาทึ่งในการสร้างสรรค์ของพระองค์ เขาไม่เพียงแต่ศึกษาทางด้านสรีระเท่านั้น แต่ยังศึกษาถึงการทำหน้าที่ของอวัยวะแต่ละชิ้นและยังบันทึกการค้นพบของเขาไว้เป็นตำราที่มีชื่อว่า “กฎในการแพทย์” ด้วย ตำราเล่มนี้ชาวยุโรปได้นำไปแปลเป็นภาษาละตินและใช้อ้างอิงเป็นเวลาถึงห้าร้อยปี แต่ชาวยุโรปได้เปลี่ยนชื่อของอิบนุสินาเสียใหม่ให้เป็นยุโรปว่า “อาวิเซนนา”
แรงบันดาลใจจากคำสอนทางศาสนานี้เองที่ส่งผลให้ยุโรปเกิดยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการในเวลาต่อมาและเป็นรากฐานของความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ในโลกสมัยใหม่
น่าเสียดายที่เมื่อวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบันมีความเจริญก้าวหน้า นักวิทยาศาสตร์สายพันธุ์ใหม่กลับหลงลืมคำสอนของศาสนาและวิทยาศาสตร์ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในทางทำลาย ขณะเดียวกัน บุคลากรในวงการศาสนากลับหมกมุ่นอยู่กับเรื่องพิธีกรรมและไสยศาสตร์จนลืมมิติทางสังคมและวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ในคำสอนของศาสนา คนสองกลุ่มนี้จึงแยกขาดออกจากกัน
สังคมใดที่บุคลากรทางศาสนาขาดความรู้ทางวิทยาศาสตร์ สังคมนั้นก็ไม่ต่างอะไรไปจากคนขาเป๋ แต่สังคมใดมีนักวิทยาศาสตร์ที่ขาดศาสนา สังคมนั้นก็ไม่ต่างอะไรไปจากคนตาบอด ถ้าประเทศใดมีสังคมสองประเภทนี้ เราก็ไม่รู้ว่าอนาคตของประเทศนั้นจะเป็นอย่างไร