ทีมข่าวพลเมืองภาคใต้ สัมภาษณ์ ผศ.ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี ผู้อำนวยการศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ ในประเด็นการขยายแนวคิดสุดโต่งต่อการใช้ความรุนแรงในกลุ่มศาสนาท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งในยุโรปและซีเรีย และขยายเข้าสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอินโดนีเซียและมาเลเซีย จะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ชายแดนภาคใต้หรือไม่ อย่างไร
ผศ.ดร.ศรีสมภพ ยืนยันว่าคนรุ่นใหม่ชายแดนใต้ยังไม่มีเงื่อนไขมากพอที่จะหันมานิยมใช้ความรุนแรง หรือตอบรับ ISIS อย่างที่หลายฝ่ายกังวลใจว่าจะมีความคิดเห็นที่ตอบรับกับแนวคิดนี้ เนื่องจากพวกเขายังได้รับโอกาสทางการศึกษา รวมถึงการแสดงอัตลักษณ์ทางศาสนา-ชาติพันธุ์ของตนเองได้อย่างเสรีในประเทศไทย แม้ว่าเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศฝรั่งเศสจะขยายความเกลียดชังต่อมุสลิมมากขึ้นก็ตาม ขณะเดียวกันการขานรับแนวคิดแบบ ISIS ของคนรุ่นใหม่บางส่วนจากบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็อยู่บนพื้นฐานที่ต่างจากวัฒนธรรมของมุสลิมชายแดนใต้
จากการเคลื่อนไหวของ ISIS ต่อการเปิดรับข้อมูลข่าวสารเรื่องอุดมการณ์การใช้ความรุนแรงจะส่งผลกระทบต่อชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ก็อาจจะมีคนบางส่วนที่หันเหไปทางนี้ แต่ด้วยสภาพแวดล้อมทางสังคมจะไม่เอื้อให้ขยายตัวออกไป ซึ่งต่างจากกรณีของอินโดนีเซียที่มีข่าวการตอบรับขบวนการจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เข้าไปร่วมที่ซีเรีย หรือว่าร่วมกับ ISIS ที่ Abu Sayyaf ประกาศจัดตั้งหน่วยของ ISIS ประจำพื้นที่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่นั่นก็ยังคงเป็นเงื่อนไขที่แตกต่างจากภาคใต้ของไทย
เนื่องจากในพื้นที่ชายแดนใต้เองมีลักษณะพิเศษที่ต่างออกไป เพราะมีการใช้ความรุนแรงมาอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่าสิบปีที่มา ทำให้คนส่วนมากรู้สึกเบื่อหน่ายกับความรุนแรง จึงต้องการให้เกิดแนวทางสันติภาพ เพราะในปีสองปีที่มีกระบวนการสันติภาพ ได้ผลในแง่ของการสร้างบรรยากาศใหม่ ความรู้สึกใหม่ และเห็นโอกาสที่จะแก้ปัญหามากขึ้น รวมถึงการแก้ปัญหาที่มีอยู่ในสังคมและเศรษฐกิจก็ย่อมมีการปรับตัวในทางที่ดีขึ้นด้วย ฉะนั้นคนรุ่นใหม่ที่จะหันเหไปใช้ความรุนแรงก็มีโอกาสน้อย แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่าอาจจะมีบางส่วนก็ตาม
นอกจากนี้แนวคิดเรื่องศาสนาอิสลามในพื้นที่ที่รับมาโดยส่วนมากจะรับมาจากสำนักคิดของอีหม่ามชาฟีอี ซึ่งค่อนข้างจะอนุรักษ์นิยมและโดยสารัตถะแล้วก็ไม่มีแนวทางการใช้ความรุนแรง ขณะที่แนวคิดที่พัฒนามาตอนหลังก็เข้ามาแบบผสมผสานกับอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมท้องถิ่นซึ่งก็ไม่นิยมใช้ความรุนแรงด้วยเช่นกัน
สำหรับอุดมการณ์การเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นและมีอยู่แล้วอย่างกลุ่ม BRN หรือ PULO หรือกลุ่มที่ใช้ความรุนแรงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่เองก็จะไม่ใช่แนวแบบ ISIS ด้วยองค์ประกอบทางแนวความคิดที่มีน้ำหนักไปทางด้านชาตินิยม ชาติพันธุ์ และเป็นเรื่องของประวัติศาสตร์เสียมากกว่า แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าแนวคิดทางศาสนาก็มีส่วนด้วยแต่ไม่ใช่องค์ประกอบหลักสำคัญของอุดมการณ์ หากพิจารณาจากสิ่งที่แสดงออกมาจะเป็นชาตินิยมมากกว่า
ดังนั้นแนวคิดด้านศาสนาที่สุดโต่งจึงไม่มีอิทธิมากในพื้นที่ชายแดนใต้ โดยเฉพาะสำหรับเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่แม้จะมีแนวความคิดเรื่องศาสนาแบบเก่าแต่ก็ไม่ได้มีเรื่องของการสนับสนุนการใช้ความรุนแรง รวมถึงคนที่เชื่อในแนวทางใหม่เองก็จะให้คุณค่ากับการใช้เหตุผลนิยมและยึดหลักทางสายกลาง เพราะฉะนั้นแนวทางการใช้ความรุนแรงในพื้นที่ชายแดนใต้จึงไม่ปรากฏให้เห็นเด่นชัด นี่อาจเป็นลักษณะพิเศษเฉพาะเชิงวัฒนธรรมด้วยที่คนในพื้นที่ไม่ได้มีรากของวัฒนธรรมที่ใช้ความรุนแรง และไม่ได้ถูกกดดันและปิดกั้นทางความคิดมาก
ด้วยเหตุนี้หากพิจารณาจากพื้นฐานทางสังคมและวัฒนธรรม อิทธิพลของสื่อใหม่ที่เข้ามาสื่อสารจะมีอิทธิพลเป็นอย่างมากก็ต่อเมื่อมีปัญหาจากภายใน หมายถึงว่ามีแรงจูงใจมีเงื่อนไขภายในที่ถูกกดดันให้ใช้ความรุนแรง หรือมีความผิดหวังต่อสังคม ซึ่งกรณีนี้เห็นได้จากคนรุ่นใหม่ในสังคมยุโรป โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ในฝรั่งเศสที่ขาดโอกาสและการจัดการเรื่องความหลากหลายทางวัฒนธรรมและศาสนาที่มีปัญหาเดิมอยู่แล้ว ทำให้หันเหไปสู่ความรุนแรงสุดโต่งในที่สุด
อย่างไรก็ตามเงื่อนไขสำหรับบริบททางชายแดนใต้ของไทย การที่รัฐบาลที่ผ่านๆ มารวมถึงรัฐบาลปัจจุบันมีแนวโน้มที่พยายามเปิดและให้โอกาสในการพัฒนาต่างๆ ทั้งการศึกษา การส่งเสริมอาชีพและการสร้างรายได้ รวมถึงโอกาสการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่มากขึ้นด้วย และด้วยความพยายามที่หลีกเลี่ยงใช้นโยบายความรุนแรงในการแก้ไขปัญหาชายแดนใต้ด้วยวิธีการสันติวิธี ทั้งการพูดคุยและรณรงค์เรื่องสันติภาพ ตนมองว่าช่วยลดเงื่อนไขที่จะใช้ความรุนแรงได้มาก
ขณะเดียวกันในส่วนของกลุ่มขบวนการหรือกลุ่มเห็นต่างจากรัฐเอง ตนเชื่อว่าไม่ได้ต้องการใช้ความรุนแรง ถ้าหากว่ายังมีโอกาสในการดำเนินกระบวนการสันติภาพ จากการพูดคุยสันติภาพในรอบ 3-4 ปีที่ผ่านมา (ทั้งแบบทางการและไม่เป็นทางการ) มีผลอย่างมากที่จะลดเงื่อนไขการใช้ความรุนแรง และการพูดคุยสันติภาพก็ได้สร้างทางเลือกและทางออกที่นำไปสู่การเปิดพื้นที่ทางการเมืองและพื้นที่กลางให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมใน Dialogue หรือการพูดคุยถกเถียงแลกเปลี่ยนทางความคิด ดังนั้นคนบางส่วนที่นิยมใช้ความรุนแรงจึงจะไม่ได้รับการยอมรับภายใต้บรรยากาศเหล่านี้ที่กระบวนการสันติภาพยังเป็นตัวหลักในการคลี่คลายปัญหา